ถุงผนังลำไส้อักเสบ กลั้นผายลมบ่อยๆ ก็มีความเสี่ยงสูง
ถุงผนังลำไส้อักเสบ กลั้นผายลมบ่อยๆ ก็มีความเสี่ยงสูง

ถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticula) คือ โรคที่เกิดการอักเสบ นูนพอง บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง หรือผนังช่องท้องที่ไม่แข็งแรง และมีถุงเล็กๆ ขึ้นมา ส่งผลให้มีการบวม แดง เป็นฝี กลายเป็นแผลแตกได้ โดยความเสี่ยงของโรคถุงผนังลำไส้อักเสบนี้ จะมาจากพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่มีใครคาดคิด เช่น การกลั้นผายลมบ่อยๆ การมีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน มีปัญหาการขับถ่ายไม่สะดวก อีกทั้งโรคนี้หากเป็นแล้ว ไม่สามารถหายขาดได้ ทำได้เพียงแค่รักษาบรรเทาอาการเท่านั้น

 

 

สาเหตุการเกิดโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ

 

  • อายุที่สูงขึ้น

 

  • พันธุกรรม หรือการเป็นฝาแฝดกัน

 

  • การสูบบุหรี่

 

  • การใช้ยาสเตียรอยด์ การใช้ยาแก้ปวดที่ก่อให้เกิดการเสพติด รวมทั้งการใช้ยาแอสไพริน หรือยาแก้อักเสบในกลุ่มเอ็นเสดติดต่อกันเป็นเวลานาน

 

  • คนอ้วน

 

  • ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย

 

  • ผู้ที่ไม่รับประทานผัก ผลไม้ จะไม่มีไฟเบอร์ หรือกากใยอาหารในการกระตุ้นการขับถ่าย รวมทั้งการขาดวิตามินดี

 

  • การกลั้นการผายลม ทำให้เกิดการสะสมของแก๊สในระบบทางเดินอาหาร ช่องท้องจึงเกิดการขยายตัว และเป็นสาเหตุของโรคถุงผนังลำไส้อักเสบได้

 

 

อาการของโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ

 

  • เป็นไข้ 38 องศาเซลเซียส และมีอาการหนาวสั่น

 

  • ปวดท้องด้านล่างทั้งด้านซ้าย และขวา เมื่อถูกกดบริเวณนั้น

 

  • ปวดท้องด้านล่างแบบเกร็งอย่างรุนแรง ทั้งด้านซ้าย และขวาเป็นประจำ

 

  • เบื่ออาหาร

 

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า

 

  • คลื่นไส้ อาเจียน

 

  • ท้องอืด

 

  • ท้องเสีย หรือท้องผูก

 

  • อุจจาระเป็นเลือด

 

 

การวินิจฉัยโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ

 

  • การซักประวัติอาการปวดท้องของผู้ป่วย

 

  • การตรวจภายนอก เช่น การกดท้องว่ามีการเจ็บบริเวณส่วนไหน

 

  • การตรวจโลหิต เพื่อหาร่องรอยการอักเสบ

 

  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อหาการติดเชื้อ

 

  • การตรวจอุจจาระ เพื่อหาการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร

 

  • การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ เพื่อหาความผิดปกติของลำไส้

 

  • การวินิจฉัยภาพอวัยวะในระบบทางเดินอาหารด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)

 

 

การรักษาโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ

 

การรักษาแบบบรรเทาอาการในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการรุนแรง หรือภาวะแทรกซ้อน

 

  • การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารเหลว หรืออาหารที่มีกากใยสูง ออกกำลังกาย และการขับถ่าย

 

  • เมื่อมีอาการปวดเกร็งที่ท้อง ประคบโดยใช้ถุงน้ำร้อน

 

  • ใช้ยาแก้ปวด และยาปฏิชีวนะหากเกิดการติดเชื้อ

 

การรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่ไม่สามารถรักษาด้วยยาได้

 

  • การให้ยาปฏิชีวนะผ่านทางหลอดเลือดดำ

 

  • การสอดใส่ท่อ เพื่อระบายฝี และหนองออก

 

  • การผ่าตัดแบบ Anastomosis เพื่อนำลำไส้ส่วนที่ติดเชื้อออก และเชื่อมต่อกลับเนื้อเยื่อส่วนที่ดี

 

  • การผ่าตัดแบบ Colostomy เป็นการผ่าตัดแบบเปิดช่องท้อง นำลำไส้ส่วนที่ติดเชื้อออก นำเนื้อเยื่อส่วนที่ดีเชื่อมต่อกัน ทำให้เกิดแผลใหญ่บริเวณหน้าท้อง

 

 

กลั้นผายลม

 

 

การป้องกันโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ

 

  • การรับประทานผัก ผลไม้ รวมทั้งธัญพืชไม่ขัดสี

 

  • ลดการรับประทานอาหารประเภทสัตว์เนื้อแดง และไขมัน

 

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

 

  • ออกกำลังกาย ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป สัปดาห์ละ 3 วัน

 

  • เลิกพฤติกรรมการสูบบุหรี่

 

  • ขับถ่ายให้เป็นเวลา และหลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระ หรือการสวนทวาร

 

  • หากอยู่ในภาวะอ้วน ควรลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี

 

  • ลดการใช้ยาที่ก่อให้เกิดโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ

 

 

โรคถุงผนังลำไส้อักเสบมักจะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่วัยรุ่นอายุน้อยๆ ก็สามารถเป็นโรคนี้ได้หากอยู่ในภาวะอ้วน ดังนั้นหากมีอาการปวดท้องข้างเดียวแบบเกร็งอยู่บ่อยครั้ง ควรเข้าพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี เพราะถ้าหากปล่อยให้ไว้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างรุนแรง เช่น มีเลือดไหลออกจากทางทวารหนักเป็นจำนวนมาก หรือการปัสสาวะออกมาเป็นอุจจาระ เป็นต้น

 

 

 


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

 

โปรแกรมส่องกล้องโรคระบบทางเดินอาหารและลำไส้