ปวดหัวข้างเดียว หรือปวดศีรษะครึ่งซีก เป็นอาการของ “โรคไมเกรน (MIGRAINE)” ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกวัยโดยเฉพาะวัยทำงาน เนื่องมาจากปัจจัยรอบตัวทั้งแสงจากจอคอมพิวเตอร์ หรือความเครียดจากการทำงาน ถึงแม้ว่าโรคนี้จะสามารถบรรเทาได้ด้วยการพักผ่อนและการทานยา แต่หากละเลยการดูแลตนเองอาจทำให้อาการหนักขึ้นเกินกว่าจะรักษา หรือบรรเทาอาการลงได้
อาการปวดศีรษะแบบไมเกรนเป็นผลมาจากระบบไฟฟ้าบริเวณพื้นผิวสมองเกิดความผิดปกติ เป็นผลให้เกิดการกระตุ้นได้ง่าย และการกระตุ้นนี้จะทำให้การไหลเวียนของเลือด และระบบประสาทของสมองเกิดความผิดปกติ อาการเหล่านี้จะแสดงออกมาให้เรารู้สึกได้ผ่านอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการดังกล่าวได้อีกด้วย ได้แก่
หลายคนอาจสับสนเนื่องจากอาการปวดศีรษะมีอยู่หลายรูปแบบซึ่งแต่ละรูปแบบต่างมีความหมายที่แตกต่างกัน (อ่านบทความปวดศีรษะแบบต่าง ๆ คลิก) แน่นอนว่าอาการปวดแบบไมเกรนนั้นย่อมมีความเฉพาะอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนี้
จากอาการที่กล่าวมาผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น มีอาการคลื่นไส้อยากอาเจียน ไม่ต้องการเจอแสงจ้า หรือกลิ่นเหม็น เป็นต้น ซึ่งการปวดศีรษะแบบไมเกรนนั้นสามารถเกิดได้ทั้งแบบมีสัญญาณเตือน (Migraine with aura) คือมีปัญหาด้านการมองเห็น มือแขน และปากชา กับอีกประเภทคือแบบไม่มีสัญญาณเตือน (Migraine without aura) ซึ่งพบได้มากกว่าแบบแรก
ความจริงแล้วไมเกรนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกเพศทุกวัยอยู่แล้ว ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยโดยรอบ และการทำงานของสมองเป็นตัวกระตุ้นด้วย ตรงจุดนี้เองที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนวัยทำงานมีความเสี่ยงมากกว่าวัยอื่น เพราะเมื่อเราสังเกตดี ๆ การเจอแสงจากจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การสะสมความเครียดจากการทำงาน หรือการทำงานมากเกินไปจนมีเวลาพักผ่อนน้อย สาเหตุเหล่านี้นี่เองที่ยากจะหลีกเลี่ยงสำหรับคนวัยนี้ และส่งผลให้เกิดความเสี่ยงไมเกรนมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
หากเป็นไมเกรนแล้วเราต้องให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองมากยิ่งขึ้น เพื่อให้อาการปวดบรรเทาลง ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีดังนี้
หากปฏิบัติตามคำแนะนำที่กล่าวไปแล้วยังคงมีอาการปวดอย่างต่อเนื่อง และรุนแรงผู้ป่วยควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยต่อไป
อาการปวดชนิดนี้ไม่สามารถทำการรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาให้อาการปวดบรรเทาลดลงจนหายในช่วงเวลานั้น ๆ ได้ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่
นอกจากการรักษา 2 ประเภทนี้แล้ว ยังสามารถรักษาได้ด้วยการรับยาต้านซึมเศร้าช่วยได้ด้วย อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยการทานยานอกจากพาราเซตามอลแล้ว ยาชนิดอื่น ๆ ผู้ป่วยไม่ควรตัดสินใจทานเองโดยปราศจากคำแนะนำจากแพทย์
ปวดศีรษะแบบไมเกรนเป็นอาการที่ยากจะหลีกเลี่ยง เมื่อเกิดขึ้นกับตัวเรา และไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีทั่วไป ควรรีบเข้ามาพบแพทย์ก่อนที่อาการจะรุนแรง เนื่องจากหากปล่อยให้เป็นบ่อยครั้งอาจเป็นไมเกรนเรื้อรังได้นั่นเอง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ตรวจหาความผิดปกติโรคทางสมอง ด้วยการตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI