หลายท่านอาจจะคุ้นเคยกับการฉีดวัคซีน เพราะตั้งแต่เกิดเรามักจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ อยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันโรคหัด เป็นต้น วัคซีนเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกองกำลังทหารอาวุธครบมือที่จะช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลจากโรค โดยเฉพาะโรคยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่จะต้องเป็นนั่นคือ “โรคไข้หวัดใหญ่” แต่ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่กลับเกิดความลังเลใจที่จะฉีดวัคซีน ดังนั้นวันนี้เราจึงมาร่วมกันไขปัญหาข้องใจเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กันเถอะ
Q : ประเทศไทยควรใช้วัคซีนสายพันธุ์ซีกโลกใต้ (SH) หรือวัคซีนสายพันธุ์ซีกโลกเหนือ (NH) ?
A : เนื่องจากประเทศไทยมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในทุกปีจึงสามารถใช้ได้ทั้งวัคซีนสายพันธุ์ซีกโลกใต้ (SH) และวัคซีนสายพันธุ์ซีกโลกเหนือ (NH) แต่โรคไข้หวัดใหญ่จะเกิดการระบาดสูงในฤดูฝนซึ่งจะตรงกับวัคซีนสายพันธุ์ซีกโลกใต้ (SH)
___________________________________________________
Q : หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ที่เป็นส่วนประกอบของวัคซีน แล้วจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนอีกหรือไม่ ?
A : ปกติแล้วร่างกายของคนเราจะสร้างภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีนสูงสุดที่ 8-6 เดือน หลังจากนั้นจะเริ่มลดประสิทธิภาพลงเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทุกปีเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
___________________________________________________
Q : วัคซีนจะสามารถเริ่มป้องกันโรคได้เมื่อใด และใช้เวลานานเท่าใด ?
A : ภูมิคุ้มกันจะถูกสร้างขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี แต่จะมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ 8-6 เดือน หลังจากนั้นจะเริ่มลดประสิทธิภาพลงเรื่อย ๆ
___________________________________________________
Q : ฉีดวัคซีนป้องกันแล้วแต่ทำไมยังป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่อยู่อีก ?
A : การฉีดวัคซีนนอกจากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเพื่อป้องกันโรคแล้วยังสามารถลดความรุนแรงของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย แต่เมื่อเราได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ไปแล้วแต่ยังมีอาการป่วย เช่น มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูกอยู่นั้นอาจเกิดจากเชื้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่เชื้อไข้หวัดใหญ่ หรืออาจได้รับเชื้อจากไวรัสจากสายพันธุ์อื่น ๆ นอกจากนี้อาจเกิดจากสาเหตุความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล และอาจมีความเป็นไปได้ว่าเราอาจได้รับเชื้อไวรัสก่อนการฉีดวัคซีนแต่เพิ่งมาแสดงอาการ หรือได้รับเชื้อในช่วง 2 สัปดาห์หลังรับการฉีดวัคซีน ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันยังไม่ทำงานนั่นเอง
ในปัจจุบันแม้จะเกิดโรคระบาดใหม่ ๆ ขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ แต่วงการแพทย์ไม่ได้นิ่งเฉยเพราะยังคงมีการพัฒนาวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน เราจึงไม่ควรปล่อยให้ร่างกายของเราต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายที่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมาเยือนเราตอนไหน ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา
บทความที่เกี่ยวข้อง