ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (atrial fibrillation หรือ AF หรือ A-Fib) ถือเป็นภาวะควรระวังของผู้สูงอายุ เนื่องจากความเสี่ยงจะมากขึ้นตามวัย ประกอบกับปัจจัยอื่น เช่น ความเครียด หรือโรคที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจทั้งทางตรง และทางอ้อม นอกจากนี้มีภาวะแทรกซ้อนยังรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หรืออาจทำให้เนื้อเยื่อสมองตายได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
เป็นภาวะของหัวใจเต้นผิดจังหวะที่พบได้มาก และจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นไปด้วย โดยอายุที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดจะอยู่ระหว่าง 80-90 ปี ภาวะนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคทางหัวใจหลายโรค เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคลิ้นหัวใจรั่ว เป็นต้น เนื่องจากผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงมากอยู่แล้ว ประกอบกับภาวะผิดปกติของหัวใจ ปัจจัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเราต้องเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของหัวใจของเรา และคนรอบตัวให้มากที่สุดเพื่อลดความเสี่ยง
อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นตามช่วงระยะของภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วตั้งแต่เป็นแบบชั่วคราวในระยะเวลาสั้น ๆ ไปจนถึงการเป็นอย่างถาวร โดยผู้ที่เป็นระดับถาวรหัวใจจะมีจังหวะการเต้นที่ผิดปกติจนไม่สามารถรักษาให้หายกลับมาเป็นปกติได้อีกต่อไป ทำได้เพียงรักษาสภาพให้ใกล้เคียงปกติเท่านั้น
การเกิดปัญหากับหัวใจไม่ได้จบเพียงจุดเดียว เนื่องจากหัวใจเป็นจุดสำคัญในร่างกาย ความเสียหายจากหัวใจจึงสามารถส่งผลต่ออวัยวะอื่น ๆ ภายในร่างกายได้อีกด้วย
การเกิดภาวะนี้มีที่มาของไฟฟ้าหัวใจเกิดความผิดปกติจากโครงสร้างของหัวใจบกพร่องบริเวณห้องบนทั้ง 2 ที่ขาดความสมดุล ส่งผลให้เกิดอาการสั่น และสะเทือนหัวใจในเวลาต่อมา ซึ่งสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดปกตินี้มีอยู่ด้วยกันหลายข้อ ได้แก่
สามารถรับการวินิจฉัยได้หลายวิธีเพื่อให้ทราบถึงจังหวะการเต้นของหัวใจว่ามีความผิดปกติหรือไม่ผ่านเทคโนโลยีทางการแพทย์หลากหลายชนิด ได้แก่
การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การปรับ และควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด ซึ่งแพทย์จะพิจาณาจากปัจจัยของผู้ป่วยหลายข้อ เช่น อายุ สภาพร่างกาย ความรุนแรงของอาการ โดยเฉพาะสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะผิดปกติ เนื่องจากบางสาเหตุอาจเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ และมีโอกาสส่งผลให้หัวใจกลับมาเต้นปกติได้อีกครั้งโดยไม่จำเป็นต้องควบคุมแต่อย่างใด การภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้วรักษาจะมุ่งเน้นไปที่ 4 วิธี ได้แก่
นอกเหนือจากนั้นเทคโนโลยีจากห้อง Cath Lab ของทางเราเองมีการให้บริการทางด้านหัวใจทั้งการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาความผิดปกติที่เกิดขึ้นในหัวใจ ไปจนถึงการรักษาอาการเหล่านั้นทุกรูปแบบ ผ่านแพทย์เฉพาะทาง และเครื่องมือสนับสนุนที่ครบครัน
ถึงแม้จะไม่มีวิธีป้องกันได้ครบ 100 % แต่การปล่อยให้ตนเองมีความเสี่ยงสูงแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรทำอย่างแน่นอน สภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นกับหัวใจเกือบทุกประเภทจึงสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการ “ดูแลตนเอง” ทั้งการทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และหมั่นตรวจสุขภาพหัวใจเท่านั้นเอง
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง หรือต้องการคำว่า “ปลอดภัยไว้ก่อน” สามารถตรวจสุขภาพหัวใจได้เพื่อคลายความกังวล และเมื่อมีอาการสุ่มเสี่ยงควรเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และทำการรักษาต่อไป