โรคกระเพาะอาหาร (Gastritis) เกิดจากการที่เยื่อบุกระเพาะอาหารติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องแบบเรื้อรัง สามารถรักษาได้ด้วยการดูแลตนเอง เพื่อไม่ให้โรคมีอาการรุนแรงถึงขั้นเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร โดยโรคนี้สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำที่สุดด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น
เกิดจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ชอบทานอาหารรสจัด ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ การอดหรือทานอาหารไม่เป็นเวลา เป็นต้น
เกิดจากการทานยาบางประเภท เช่น แอสไพริน
เกิดจากการติดเชื้อเอชไพโลไร ทำให้มีการอักเสบของกระเพาะอาหารเกิดขึ้น
มีความเครียด หรืออยู่ในสภาวะวิตกกังวล
มีอาการปวดท้องจุกแน่นเรื้อรัง แสบร้อนบริเวณกลางท้องหรือท้องส่วนบน
มีอาการปวดเป็นระยะ ในบางรายอาจจะมีอาการหลังจากหลับแล้ว
คลื่นไส้ อาเจียน
เรอเหม็นเปรี้ยว
ถ้าผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบเข้าพบแพทย์โดยด่วน
ตาเหลือง
มีไข้สูงเรื้อรังตลอดเวลา
จากมีอาการแค่ปวดท้องแบบแสบ ๆ กลายเป็นปวดเกร็ง ปวดบีบ และปวดแบบรุนแรงขึ้น
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ในระยะ 1 - 2 เดือน
เกิดภาวะโลหิตจาง เนื่องจากมีเลือดออกภายในกระเพาะอาหาร
อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นสีดำ หน้ามืด
เมื่อมีอาการปวดท้องส่วนบนอย่างรุนแรงแบบเฉียบพลัน หน้าท้องแข็ง และเมื่อกดจะรู้สึกเจ็บมาก อาจเป็นสัญญาณของกระเพาะอาหารทะลุ
กระเพาะอาหารอุดตัน โดยมักมีอาการ เช่น น้ำหนักลดลง อาเจียน เบื่ออาหาร และอิ่มเร็ว เป็นต้น
โดยปกติแล้ว โรคกระเพาะอาหารทั่วไปมักจะไม่ส่งผลถึงขั้นทำให้มีเลือดออกในกระเพาะ แต่จะพบมากในผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารเรื้อรัง
นอกจากอาการปวดท้องที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้อีกด้วย หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร หรือชื่อเต็ม เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) บริเวณเยื่อบุของกระเพาะอาหารซึ่งสามารถติดได้จากคนสู่คนด้วยการทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อชนิดนี้ เป็นผลให้เยื่อบุกระเพาะเกิดอาการอักเสบจนกลายเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
การส่องกล้องทางเดินอาหาร เพื่อตรวจดูกระเพาะและหาแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร จากนั้นอาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจหาเชื้อ
บางกรณีแพทย์อาจพิจารณาใช้วิธีการทำอัลตราซาวด์ และการเอกซเรย์โดยคอมพิวเตอร์ ในผู้ป่วยที่เกิดอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน
หากผู้ป่วยไม่สามารถทำการส่องกล้องได้ อาจใช้วิธีการตรวจเลือดกับBreath Test
ส่วนหนึ่ง คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรค ร่วมกับการรักษาตามสาเหตุที่วินิจฉัยพบ ได้แก่
ปรับเปลี่ยนการทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่ทานอาหารรสจัดหรือดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะเป็นการกระตุ้นให้ปวดท้อง
รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง หากมีสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร ผู้ป่วยจะได้รับยาลดกรด กับยาปฏิชีวนะ
หากการปรับพฤติกรรมไม่ดีขึ้น อาจต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมเช่น การส่องกล้องทางเดินอาหารเพื่อรักษาตามสาเหตุ เป็นต้น
หากมีแผล สำไส้ทะลุ อุดตัน และมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร อาจใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อรักษากระเพาะอาหาร
รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย และให้หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด เปรี้ยวจัด และอาหารมัน
หลีกเลี่ยงหรืองดการใช้ยาแก้ปวด แอสไพริน หรือยาแก้โรคกระดูกและข้อทุกชนิด
หากมีอาการจุกแน่นหลังรับประทานอาหาร ให้ปรับลดการรับประทานอาหาร โดยให้รับประทานน้อยลง แต่รับประทานให้บ่อยมื้อขึ้น และในแต่ละมื้อไม่ควรอิ่มมากจนเกินไป
หากมีความเครียด ควรหากิจกรรมอื่นทำเพื่อผ่อนคลาย
งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ถ่ายเป็นสีดำ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ กลืนลำบาก เป็นต้น ควรเข้าพบแพทย์โดยด่วน
โรคกระเพาะอาหาร อาจจะไม่ใช่โรคที่อันตราย แต่ถ้าหากปล่อยเอาไว้จนเกิดการเรื้อรัง และมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ ทางที่ดีหากมีอาการควรเข้าพบแพทย์เพื่อรักษา และรับคำแนะนำในการป้องกันตนเองต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
โปรแกรมส่องกล้องโรคระบบทางเดินอาหารและลำไส้
อาการปวดท้องแต่ละแบบบ่งบอกอะไรบ้าง