ตาแดง
ตาแดง อาการอักเสบที่เป็นปัญหากวนใจของใครหลายคน

 

ดวงตา คือ อวัยวะที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ในร่างกาย เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่รับเชื้อโรคได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่มีอุปกรณ์ใดสามารถป้องกันได้ โดยช่วงหน้าฝนจะมีโรคหนึ่งเกี่ยวกับดวงตาที่มักจะระบาดในทุกปี นั่นคือ โรคตาแดง

 

 

โรคตาแดง เกิดจากสาเหตุใด ? 

 

โรคตาแดง (Pink Eye, Conjunctivitis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสในกลุ่ม อะดีโนไวรัส (Adenovirus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถกระจายตัวได้ง่าย ส่งผลให้เกิดการติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกคนบุคคลหนึ่งได้

 

 

การติดต่อของโรคตาแดง

 

  • การสัมผัสน้ำตาหรือขี้ตาของผู้ป่วย แล้วมีการนำอวัยวะนั้นมาสัมผัสที่ดวงตา เช่น การขยี้ตา เป็นต้น

 

  • ใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น เครื่องสำอาง แว่นตา หรือผ้าเช็ดตัว 

 

  • การไอ จาม และการหายใจรดกัน 

 

  • มีสัตว์ประเภทที่เป็นพาหะของโรค เช่น แมลงหวี่ และแมลงวันมาตอมหรือเข้าตา

 

เล่นน้ำสกปรก

 

  • เล่นน้ำในพื้นที่ที่เป็นน้ำท่วมขัง สกปรก

 

  • ไม่รักษาความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้ากับมือ

 

โดยโรคตาแดงนั้นสามารถติดต่อได้ง่าย และมีความรวดเร็ว ซึ่งระยะติดต่อที่สามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ คือ 2 สัปดาห์ โดยผู้ที่ได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการหลังได้รับเชื้อมาแล้ว 2 - 14 วัน

 

 

ชนิดของโรคตาแดง

 

ชนิดอันตรายน้อย

 

  • เยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการแสบ เจ็บ ระคายเคืองดวงตา และผู้ป่วยยังต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นด้วย

 

  • โรคภูมิแพ้เยื่อบุตา จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสร ขนสัตว์ หรือฝุ่น เป็นต้น อาจส่งผลให้มีอาการตาบวม แดง คัน ระคายเคือง และมีน้ำตาไหลได้ 

 

  • ต้อลม, ต้อเนื้อ เมื่อเยื่อบุตาได้ถูกกระตุ้นจากปัจจัยอื่น ให้เกิดการระคายเคืองเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เยื่อบุตาเกิดการหนาตัวขึ้น แล้วยื่นไปที่บริเวณกระจกตา ส่งผลให้มีการบดบังการมองเห็นหรือสายตาเอียงเกิดขึ้น มักพบในกลุ่มผู้ป่วยที่จำเป็นต้องอยู่กลางแจ้งหรือเจอมลภาวะเป็นประจำ 

 

  • เลือดออกใต้เยื่อบุตา เกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง การขยี้ตาบ่อย การจามหรือไออย่างรุนแรง เป็นต้น ซึ่งโรคตาแดงชนิดนี้จะพบได้บ่อยแต่ไม่เป็นอันตราย สามารถหายเองได้ภายใน 1 - 2 สัปดาห์

 

ชนิดอันตรายมาก

 

  • ต้อหินชนิดมุมปิดเฉียบพลัน หากความดันภายในลูกตามีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีอาการตาแดงตลอดเวลา รูม่านตาขยายใหญ่ขึ้นแต่ไม่ตอบสนองต่อแสง หรือตามัว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ 

 

  • ม่านตาอักเสบ โดยผู้ป่วยจะมีอาการแพ้แสง ตาแดง และปวดตา ในผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการร่วมทางร่างกายได้ เช่น ผมร่วง ปวดตามข้อ เป็นผื่นแพ้แสงที่ผิวหนัง เป็นต้น

 

  • กระจกตาอักเสบจากการติดเชื้อ หากมีการสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรีย และมีการนำมาสัมผัสดวงตาต่อ ถ้าเชื้อทะลุเข้าไปภายในกระจกตาจนเกิดความเสียหาย อาจทำให้มีความรุนแรงจนถึงขั้นตาบอดกับกระจกตาทะลุได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตาแดงชนิดนี้ ควรได้รับการรักษาทันที 

 

 

อาการของโรคตาแดง

 

อาการของโรคตาแดง มักจะเป็นเพียงข้างเดียวก่อน แล้วจะลามไปอีกข้างในอีก 2-3 วัน เมื่อเป็นโรคนี้แล้วจะเป็นประมาณ 10-14 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อจะเกิดอาการขึ้นอย่างเฉียบพลัน โดยอาการที่แสดงออกมา เช่น 

 

  • เยื่อบุตา (ส่วนที่เป็นตาขาว) เกิดการอักเสบ บวมแดง น้ำตาไหล

 

คันตา

 

  • มีอาการคัน แสบ เจ็บปวด รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ภายในดวงตา

 

  • หากมีการติดเชื้อของแบคทีเรีย อาจทำให้ขี้ตามีสีเหลือง 

 

  • เปลือกตามีอาการบวมแดง

 

  • ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายเป็นหวัดร่วมอยู่ด้วย

 

 

ภาวะแทรกซ้อนของโรคตาแดง

 

หลังจากเกิดโรคตาแดงแล้ว ผู้ป่วยอาจจะมีอาการกระจกตาอักเสบ เนื่องจากเชื้อไวรัสที่ลุกลามไป ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเคืองตา มีอาการตามัว เกิดฝ้าขาวที่กระจกตาดำได้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังจากเป็นโรคตาแดงแล้ว 7 - 10 วัน โดยอาการนี้อาจจะเป็นนานถึง 1 - 2 เดือน

 

 

การรักษาโรคตาแดง

 

ใช้น้ำตาเทียม

 

  • ใช้น้ำตาเทียมหยอด เพื่อลดการระคายเคืองของดวงตา

 

  • หากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ให้ใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตา ซึ่งผู้ป่วยควรเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการใช้ยาปฏิชีวนะ 

 

  • ใช้น้ำเกลือทำความสะอาดเปลือกตา

 

  • หากเป็นตาแดงจากอาการแพ้ ควรรับประทานยาแก้แพ้

 

  • ให้ประคบร้อนหรือเย็นที่ดวงตา เพื่อลดอาการปวดบวม

 

 

การป้องกันโรคตาแดง

 

  • หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและพลุกพล่าน

 

  • หากเกิดอาการตาแดงขึ้น ควรหยุดพักการเรียนหรือการทำงานจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น

 

ล้างมือ

 

  • ล้างมือบ่อย ๆ เมื่อมีการไปสัมผัสกับสิ่งของหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย

 

  • หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้น

 

  • สวมใส่แว่นกันแดด กันลม

 

  • ไม่ควรขยี้ตาบ่อย ๆ

 

  • หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสอบว่ามีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ 

 

 

โรคตาแดงแม้จะเป็นแล้วสามารถหายเองได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ หรือปล่อยให้ติดเชื้อเป็นเวลานาน อาจจะส่งผลต่อดวงตา ทำให้เกิดโรคต้อหิน ต้อลม ม่านตาอักเสบได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร ดังนั้น หากพบว่าตนเองเป็นโรคตาแดงควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้น



 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

คลินิกจักษุ

 

ล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าไม่สะอาด เสี่ยงดวงตาติดเชื้อ