"ฝี" เป็นปัญหากวนใจที่ใครหลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะหากเกิดขึ้นแล้วจะสร้างความเจ็บปวดทรมานอย่างมาก และจะยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นไปอีก เมื่อฝีดันไปเกิดขึ้นในที่ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งฝีที่ถูกกล่าวมานั้น คือ "ฝีคัณฑสูตร" นั่นเอง
เป็นฝีที่เกิดขึ้นจากการอุดตันและอักเสบของต่อมผลิตเมือก จนเกิดการติดเชื้อแล้วเป็นหนองภายในทวารหนัก โดยบริเวณนี้จะมีต่อมผลิตเมือกจำนวนมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อเนื่องจากเป็นทางผ่านของอุจจาระ ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียจนเกิดเป็นฝี และเมื่อฝีแตกออกจนมีหนองไหลออกมาที่ผนังรอบปากทวาร อาจส่งผลให้กลายเป็นฝีคัณฑสูตรในที่สุด
แม้โรคฝีคัณฑสูตรจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นภายในทวารหนัก ซึ่งในระยะเริ่มต้นยังไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการด้วยตัวเองได้ ดังนี้
ขอบทวารหนักบวมและมีอาการเจ็บรอบ ๆ หรือภายในรูทวารหนักตลอดเวลา
ในบางรายผู้ป่วยอาจมีอาการไข้ขึ้นสูง, คลื่นไส้, อาเจียนร่วมด้วย
มีอาการคันที่บริเวณรอบทวารหนัก
ปวดภายในทวารหนัก และจะปวดมากตอนเบ่งถ่าย
มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกมาจากทวารหนัก
เมื่อขับถ่ายอุจจาระจะมีหนองปนออกมาในระยะเรื้อรัง
ฝีคัณฑสูตรสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด ได้แก่
Intersphincteric
สามารถพบได้บ่อยที่สุด โดยจะเริ่มจากการอักเสบของต่อมผลิตเมือก กลายเป็นฝีหนองระหว่างกล้ามเนื้อหูรูดชั้นในและชั้นนอก ซึ่งฝีคัณฑสูตรชนิดนี้สามารถใช้นิ้วคลำเพื่อตรวจดูได้
Transphincteric
เกิดจากการอักเสบของต่อมผลิตเมือกเช่นกัน แต่ฝีหนองจะทะลุผ่านกล้ามเนื้อหูรูดชั้นในและชั้นนอก ซึ่งสามารถตรวจคลำได้ค่อนข้างยากกว่าชนิดแรก
Suprasphincteric
ฝีคัณฑสูตรชนิดนี้เกิดจากการอักเสบของต่อมผลิตเมือกเหมือนชนิดที่ 1, 2 แต่ฝีหนองจะเกิดขึ้นระหว่างกล้ามเนื้อหูรูดชั้นในและชั้นนอก แต่เมื่อหนองแตกออกจะขึ้นไปอยู่ด้านบนของหูรูดชั้นนอก และกลับลงมาเป็นที่ขอบทวารหนักอีกครั้ง
Extrasphincteric
ฝีคัณฑสูตรชนิดนี้จะพบได้น้อยมาก เพราะต้องเป็นชนิด Transphincteric มาก่อนจนหนองเกิดการลุกลามขึ้นไปบริเวณส่วนปลายของลำไส้ตรง ฝีชนิดนี้ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อและรักษายากอีกด้วย
โรคทั้งสองนี้ แม้จะมีอาการคล้ายคลึงกัน คือ มีอาการเจ็บบริเวณทวารหนักหรือถ่ายเป็นเลือด แต่โรคฝีคัณฑสูตรจะไม่สามารถหายเองได้เหมือนโรคริดสีดวง ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น
ผู้ที่มีการขับถ่ายระหว่างวันบ่อย จะเสี่ยงต่อการเป็นฝีคัณฑสูตรมากกว่าคนทั่วไป
สามารถพบได้ทุกเพศ แต่ผู้ชายถ้าหากเป็นฝีคัณฑสูตรอาการของโรคจะรุนแรงมากกว่า เพราะกล้ามเนื้อหูรูดของผู้ชายจะมีความแข็งแรงกว่าผู้หญิง
ส่วนมากจะพบในคนหนุ่มสาวมากกว่าผู้สูงอายุ เพราะต่อมผลิตเมือกในผู้สูงอายุจะมีการฝ่อตามวัย และกล้ามเนื้อหูรูดจะไม่ได้แข็งแรง โอกาสที่จะเป็นฝีคัณฑสูตรจึงน้อยกว่าคนหนุ่มสาว
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคตับ, โรคเบาหวาน หากเกิดโรคนี้ขึ้นจะมีความอันตรายมากกว่าบุคคลทั่วไป เพราะฝีอาจมีการลุกลามจนติดเชื้อในกระแสเลือดได้
มีอาการไข้สูง, คลื่นไส้ และอาเจียน
หากเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันอาจกลายเป็นระยะเรื้อรังได้
ส่งผลกระทบต่อการขับถ่ายหรือการกลั้นอุจจาระ
เกิดการติดเชื้อลุกลามในกระแสเลือด
มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกหลังการผ่าตัด
การซักประวัติ, ตรวจร่างกาย และการตรวจทวารหนักเพื่อวินิจฉัยอาการของฝีคัณฑสูตร
การตรวจอัลตราซาวด์ทวารหนักด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การใช้กล้องส่องเพื่อตรวจดูภายในทวารหนัก
การรักษาโรคนี้ แพทย์มีเป้าหมายเพื่อระบายหนองออกและหยุดอาการอักเสบซ้ำซ้อน นอกจากนี้แพทย์ยังต้องคำนึงความเสียหายของหูรูดด้วย เนื่องจากมีความสำคัญอย่างมากในการกลั้นอุจจาระ โดยวิธีการรักษามีอยู่หลายแบบ ซึ่งจะต้องปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ตามความเหมาะสม โดยสามารถแบ่งวิธีการรักษาได้ ดังนี้
การรักษาฝีหนองระยะก่อนเป็นฝีคัณฑสูตร ใช้รักษาในระยะเฉียบพลัน วัตถุประสงค์เพื่อระบายหนอง ลดการติดเชื้อและอาการปวด
การผ่าตัดเปิดฝีคัณฑสูตร เหมาะสำหรับฝีชนิดที่อยู่ตื้น หลังผ่าตัดมักจะไม่มีอาการหรือปัญหาเกี่ยวกับหูรูด
การผ่าตัดรักษาฝีคัณฑสูตรเรื้อรัง วัตถุประสงค์เพื่อลดอาการอักเสบซ้ำซ้อน ใช้รักษาฝีคัณฑสูตรที่มีการติดต่อระหว่างเยื่อบุทวารหนักกับผิวหนัง วิธีการผ่าตัดและขั้นตอนขึ้นอยู่กับชนิดของฝี ปกติจะไม่เย็บปิดแผลผ่าตัด โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบได้หลังผ่าตัด เช่น มีเลือดออก, น้ำเหลืองซึม, การกลั้นอุจจาระและผายลมไม่สมบูรณ์ (ขึ้นกับชนิดและความลึกของฝี) และมีโอกาสกลับไปเป็นอีกได้
การผ่าตัดโดยการเก็บหูรูด ใช้รักษาผู้ป่วยในรายที่มีกล้ามเนื้อหูรูดลึก วิธีนี้จะนิยมใช้ในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีการผ่าตัดที่ยังเก็บหูรูดไว้ ทำให้ไม่มีปัญหากับการกลั้นอุจจาระ
เนื่องจากโรคนี้ ไม่สามารถป้องกันได้เหมือนกับโรคอื่น ดังนั้น จึงมีเพียงวิธีการดูแลตนเองหลังการผ่าตัดเท่านั้น ดังวิธีต่อไปนี้
ให้ทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำเมื่อหมดฤทธิ์ยาสลบหรือยาชา
หาอุปกรณ์ป้องกันเลือดและหนองที่อาจไหลออกมา เช่น ผ้าอนามัย หรือผ้าก๊อซแบบแผ่นพับ เป็นต้น
ผู้ป่วยต้องหมั่นเปลี่ยนผ้าปิดแผลและรับการตรวจแผล ซึ่งโดยปกติแล้วแผลจะหายได้เองในช่วงเวลาประมาณ 8 สัปดาห์
แพทย์อาจให้ยาที่มีส่วนช่วยให้อุจจาระนิ่ม เพื่อให้ขับถ่ายได้อย่างสะดวก
แพทย์อาจให้ยาตามความเหมาะสม เช่น ยาแก้ปวด, ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของผู้ป่วยด้วย
ฝีคัณฑสูตรมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยการรักษาแต่ละวิธีควรตัดสินใจร่วมกันกับแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และควรดูแลตนเองหลังการผ่าตัด จนกว่าจะหายเป็นปกติและคอยติดตามภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นด้วย หากท่านใดที่สงสัยว่าตนเองมีอาการเข้าข่ายว่าจะเป็นฝีคัณฑสูตร ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ดำเนินการรักษา และรับคำแนะนำในการดูแลตัวเองต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ผ่าตัดฝีคัณฑสูตร (Fistulotomy)
ดูแลตัวเองง่าย ๆ สไตล์คนเป็นฝีคัณฑสูตร