ไส้ติ่งอักเสบ
ไส้ติ่งอักเสบ รู้ไว รู้ทัน ป้องกันได้ อย่าปล่อยทิ้งไว้นานอาจถึงชีวิต

 

อวัยวะภายในร่างกาย ล้วนมีหน้าที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละอวัยวะ ถ้าหากพูดถึงไส้ติ่งน้อยคนนักจะรู้ว่าอวัยวะนี้ทำหน้าที่อะไร ส่วนใหญ่จะรู้จักแต่โรคที่เกิดขึ้นในอวัยวะนี้ คือ โรคไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งไส้ติ่งนั้นเชื่อว่ามีหน้าที่ในการสะสมแบคทีเรีย ที่ใช้ในกระบวนการย่อยอาหาร เพราะอวัยวะนี้จะเป็นท่อปลายปิดที่ต่อมาจากลำไส้ส่วนต้น หากไส้ติ่งเกิดการอุดตัน จะทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างฉับพลัน หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมไส้ติ่งที่ดูเหมือนจะเป็นอวัยวะที่แทบไม่ได้มีหน้าที่ใด ๆ จะเกิดการอักเสบได้อย่างไร แล้วหากมีอาการปวดท้องจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นไส้ติ่งอักเสบ และต้องได้รับการผ่าตัด วันนี้เรามีคำตอบ

 

 

ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากอะไร

 

 

ปวดไส้ติ่ง

 

 

โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) มักเกิดจากของเสีย, สิ่งแปลกปลอม หรืออุจจาระที่เคลื่อนลงไปอุดตันในไส้ติ่ง ทำให้เกิดแบคทีเรียสะสม, มีเลือดคั่ง และกระจายไปที่ผนังไส้ติ่งจนเกิดการอักเสบ กลายเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบในที่สุด หากไส้ติ่งแตกทะลุจนเกิดการติดเชื้อในช่องท้องแล้วกลายเป็นติดเชื้อในกระแสเลือด อาจมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

 

สัญญาณที่บ่งบอกว่าอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ

 

 

โดยอาการจะแบ่งออกตามระยะของโรค ได้แก่

 

ระยะที่ 1

 

 

จุกแน่นท้อง

 

 

เป็นระยะแรกที่ไส้ติ่งเริ่มอุดตัน จะมีอาการปวดท้องบริเวณรอบสะดืออย่างฉับพลัน, จุกแน่นท้อง และเบื่ออาหาร

 

 

ระยะที่ 2

 

เป็นระยะที่ไส้ติ่งเริ่มบวม โดยจะมีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวา หากมีการเคลื่อนไหว เช่น เดิน, ไอ หรือจาม จะรู้สึกเจ็บมากขึ้น บางรายอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย

 

 

ระยะที่ 3

 

เป็นระยะที่อันตราย เพราะไส้ติ่งแตก และเชื้อแบคทีเรียกำลังแพร่กระจายในช่องท้อง จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้ขึ้น และหากไม่ได้รับการผ่าตัดจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งส่งผลให้เสียชีวิตได้

 

 

การวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ

 

  • ตรวจเลือด แพทย์จะทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจดูว่ามีปริมาณเม็ดเลือดขาวเยอะหรือไม่ หากเม็ดเลือดขาวมีปริมาณมาก จะสามารถบ่งบอกถึงการติดเชื้อได้

 

  • ตรวจอัลตราซาวด์ หรือตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ด้วยเครื่อง CT SCAN

 

 

การผ่าตัดไส้ติ่งแบบเปิด และแบบส่องกล้อง (MIS) ต่างกันอย่างไร

 

 

การผ่าตัดแบบเปิด

 

ผู้ป่วยจะมีบาดแผลบริเวณท้องน้อยด้านขวา ใช้ระยะเวลาพักฟื้นนาน

 

 

การผ่าตัดไส้ติ่งแบบส่องกล้อง

 

จะมีแผลขนาดเล็กเพียง 2-3 แผล คือ แผลบริเวณใต้สะดือ, บริเวณด้านซ้าย และด้านขวาของท้องน้อย หลังจากผ่าตัดผู้ป่วยจะปวดแผลน้อย และเป็นการผ่าตัดที่ใช้กล้องส่อง จึงทำให้มีความแม่นยำ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

 

 

การดูแลตนเองหลังผ่าตัด

 

 

รับประทานยา

 

 

  • รับประทานยาตามที่แพทย์กำหนด

 

  • หลังเย็บแผล กล้ามเนื้ออาจจะไม่แข็งแรง ควรหลีกเลี่ยงการทำงาน หรือยกของหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไส้เลื่อนแผลผ่าตัดขึ้น

 

  • การติดตามผลว่าแผลเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเริ่มปกติแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการตัดไหมให้ผู้ป่วย

 

 

เป็นไส้ติ่งอักเสบไม่ผ่าตัดได้หรือไม่

 

การรักษาไส้ติ่งอักเสบ จะมีเพียงการผ่าตัดเอาไส้ติ่งที่อักเสบออกเท่านั้น โดยต้องผ่าตัดให้เร็วที่สุด เพราะหลังจากเกิดการอักเสบแล้ว ไส้ติ่งอาจจะเน่า และแตกทะลุภายใน 24-36 ชั่วโมง หากไส้ติ่งแตกจะมีความเสี่ยงที่อาจทำให้เสียชีวิตสูง โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ และมีภาวะช็อกได้

 

 

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการเป็นไส้ติ่งอักเสบ

 

 

เม็ดฝรั่ง

 

 

บางคนอาจมีความเชื่อว่าการรับประทานเม็ดฝรั่ง หรือเม็ดของผลไม้อื่น ๆ จะทำให้ไปอุดตันที่ไส้ติ่ง และส่งผลให้เกิดไส้ติ่งอักเสบ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ไปอุดตันในไส้ติ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นอุจจาระของเราเอง สาเหตุที่มาจากการรับประทานเม็ดของผลไม้มีความเป็นไปได้ แต่จะเกิดขึ้นได้น้อยมาก

 

 

หากปวดท้องด้านขวาล่างอาจเป็นอะไรได้บ้าง

 

  • นิ่วในท่อปัสสาวะ

 

  • หลอดเลือดแดงขาหนีบโป่งพองอักเสบ

 

  • ไส้เลื่อนขาหนีบ

 

หากปวดท้องด้านขวาในกรณีของสตรี อาจเสี่ยง

 

  • ตั้งครรภ์นอกมดลูก

 

  • ถุงน้ำในรังไข่

 

  • เนื้องอกรังไข่

 

  • การติดเชื้อที่บริเวณอุ้งเชิงกราน

 

 

ไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วนที่สุด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน หรือความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการเสียชีวิต ดังนั้นหากพบว่าตนเองมีอาการ หรือความเสี่ยงว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย และการรักษาให้เร็วที่สุด



 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

ผ่าตัดไส้ติ่ง Appendectomy

 

อาการปวดท้องแต่ละแบบบ่งบอกอะไรบ้าง