เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) เป็นอีกหนึ่งโรคที่เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยมักจะเกิดขึ้นกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โรคนี้สามารถหายได้ แต่เมื่อภูมิต้านทานต่ำลง อาจเสี่ยงต่อการกลับมาติดเชื้อซ้ำ
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus : HSV) จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลเริม ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้ จะแฝงตัวอยู่ที่บริเวณปมประสาทได้อย่างถาวร และสามารถถูกกระตุ้นให้กลับมาเป็นซ้ำได้หากภูมิต้านทานต่ำลง
โดยเชื้อไวรัสแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด
HSV-1 ทำให้เกิดรอยโรคที่ปาก และจมูก
HSV-2 จะทำให้เกิดรอยโรคที่ภายนอกของอวัยวะเพศ สามารถแพร่กระจายได้ง่าย ถึงแม้ว่าจะไม่มีบาดแผลเปิด
ระยะฟักตัวจะอยู่ที่ 2-14 วัน หลังจากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลเริม
มีไข้ต่ำ ร่วมกับการปวดเมื่อยตามร่างกาย
เกิดรอยแตก และแดงบริเวณรอบอวัยวะเพศ
เกิดตุ่มน้ำใส โดยตุ่มนี้จะแตกเองภายใน 24-48 ชั่วโมงซึ่งอาจส่งผลให้บริเวณนั้น เกิดอาการบวม, แดง หรือแสบร้อน
ชา และคันบริเวณรอบอวัยวะเพศ หรือทวารหนัก
เกิดการอักเสบ, แสบบริเวณปากช่องคลอด และยังส่งผลให้มีอาการแสบขณะปัสสาวะร่วมด้วย
หลายท่านอาจคิดว่า หากจะติดเชื้อไวรัสต้องมีเพศสัมพันธ์ด้วยวิธีการสอดใส่เพียงอย่างเดียว แต่ว่าโรคนี้สามารถติดต่อได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีการสอดใส่ การใช้อุปกรณ์เสริม หรือของเล่นผู้ใหญ่ อาจจะเป็นอีกหนึ่งเส้นทางของการแพร่เชื้อได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วการสวมถุงยางอนามัยไม่ได้ป้องกันเชื้อทั้งหมด เพราะส่วนนอกที่ถุงยางอนามัยครอบไม่ถึง อาจจะมีรอยโรคติดอยู่บริเวณนั้น หรือแม้กระทั่งการใช้นิ้วช่วยเสริมในการมีเพศสัมพันธ์ แล้วนำนิ้วมือมาจับที่อวัยวะเพศของตนเอง อาจเสี่ยงต่อการทำให้ติดเชื้อได้เช่นกัน เชื้อจะมีการแพร่มากที่สุดในช่วง 1 ปีแรกหลังจากการติดเชื้อไวรัส หากมีคุณแม่ท่านใดที่กำลังตั้งครรภ์ และมีเชื้อไวรัสอยู่ จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เพราะอาจแพร่เชื้อไปสู่ทารกผ่านช่องคลอด ระหว่างการคลอดทารกได้ แต่ในกรณีที่มีการจูบ, กอด หรือการใช้จาน, ช้อน และแก้วน้ำร่วมกัน จะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นได้
การตรวจเลือด เป็นการตรวจเพื่อหาเชื้อไวรัส HSV และภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสในร่างกาย
การเพาะเชื้อ โดยแพทย์จะขูดบาดแผล หรือเนื้อเยื่อของผู้ป่วย เพื่อนำไปตรวจเชื้อ HSV ด้วยกล้องจุลทรรศน์
การทดสอบ PCR Test (Polymerase Chain Reaction) คือ การคัดลอก DNA จากตัวอย่างเลือดของผู้ป่วย หรือเนื้อเยื่อบาดแผล การวินิจฉัยวิธีนี้ จะตรวจพบเชื้อไวรัส HSV ซึ่งสามารถระบุชนิดได้อย่างชัดเจน และมีความแม่นยำที่ค่อนข้างสูง
ณ ปัจจุบัน เริมที่อวัยวะเพศยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผู้ป่วยสามารถบรรเทา และควบคุมอาการ โดยการให้ยาต้านไวรัส เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) และยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลา, บรรเทาความรุนแรงของโรค และยังลดโอกาสของการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาให้ยาแก้ปวด, ยาลดไข้ หรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ซึ่งถ้าหากมีการเกิดโรคซ้ำ อาการของผู้ป่วยมักจะไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองภายในระยะเวลา 7 วัน
รับประทานยาตามที่แพทย์กำหนดอย่างสม่ำเสมอ
เข้ารับการตรวจภายใน และเลือดเพื่อหาโรคทางเพศสัมพันธ์
รักษาความสะอาดร่างกายอยู่เสมอ โดยเฉพาะบริเวณจุดซ่อนเร้น
หากมีบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ เพราะบาดแผลนั้นอาจติดเชื้อ และติดต่อไปสู่คู่นอนได้
หากพบว่าตนเองมีอาการที่รุนแรง ควรเข้าพบแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัยอาการ
เริมที่อวัยวะเพศ เป็นโรคทางเพศสัมพันธ์ที่มีความอันตราย และน่ากลัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรี แต่ไม่ใช่ว่าคุณผู้ชายจะไว้วางใจได้ เพราะท่านสามารถติดโรคนี้ได้เช่นกัน ซึ่งจะเห็นว่าโรคนี้ติดต่อกันได้ แม้ไม่ได้มีการสอดใส่ และยังมีความอันตรายต่อทารกในครรภ์ ถ้าพบว่าคุณแม่มีการติดเชื้อนี้อยู่ หากท่านใดที่สงสัย หรือคิดว่าตนเองเข้าข่ายว่าจะเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการ รักษา และรับคำแนะนำจากแพทย์
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
โปรแกรมตรวจโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
คันอวัยวะเพศ สัญญาณของโรคอะไรบ้าง