มะเร็งช่องปาก
มะเร็งช่องปาก สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน

 

มะเร็งช่องปาก หรือ Oral Cancer เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยโรคนี้อาจส่งผลให้คุณภาพและการใช้ชีวิตแย่ลงได้ ซึ่งถ้าหากมีแผลเกิดขึ้นภายในช่องปาก แล้วไม่ได้ติดตามสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ผนวกกับการปล่อยปละละเลยและไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที แผลที่เห็นนั้นอาจจะเป็นมะเร็งช่องปากได้ 

 

 

มะเร็งช่องปากเกิดจากสาเหตุใด ? 

 

  • พันธุกรรม หากบุคคลในครอบครัวมีประวัติการเป็นมะเร็งช่องปาก อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคนี้ขึ้นได้

 

  • การสูบบุหรี่, ซิการ์, ไปป์ หรือการเคี้ยวยาสูบ เพราะสารพิษภายในบุหรี่และตัวยาสูบนั้น อาจสามารถไปกระตุ้นเซลล์ภายในช่องปาก และพัฒนากลายเป็นมะเร็งได้

 

ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

 

  • การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาจทำให้เยื่อบุภายในช่องปาก เกิดการระคายเคืองและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์คู่กับการสูบบุหรี่

 

  • การติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) เพราะ HPV บางสายพันธุ์อาจมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งในช่องปาก 

 

  • การระคายเคืองเรื้อรังภายในช่องปาก เช่น การใส่ฟันปลอมไม่พอดี ฟันแตก บิ่น หรือมีการอักเสบเรื้อรังภายในช่องปาก เป็นต้น 

 

  • ขาดสารอาหาร เช่น วิตามินเอ, ซี หรืออี อาจส่งผลให้ผู้ป่วยขาดภูมิคุ้มกันได้

 

 

มะเร็งช่องปากอาการเป็นอย่างไร ? 

 

  • เกิดแผลภายในช่องปากคล้ายร้อนใน และไม่หายภายใน 2 - 3 สัปดาห์ 

 

  • เจ็บปวด, ชา หรือมีเลือดไหลออกจากช่องปากโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

  • มีก้อนเนื้อ, ก้อนบวมโต หรือแผลนูนภายในช่องปากและลำคอ

 

  • การเคี้ยวอาหารและกลืนน้ำลายลำบากมากขึ้น

 

  • น้ำหนักลดลงแบบผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

 

ระยะของโรคมะเร็งช่องปาก

 

  • ระยะที่ 1 ก้อนขนาดเล็ก ยังไม่พบการลุกลามในระยะนี้

 

  • ระยะที่ 2 มะเร็งมีการลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียง

 

  • ระยะที่ 3 ก้อนมีขนาดใหญ่มากขึ้น และยังคงมีการลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียง รวมถึงต่อมน้ำเหลืองที่คอด้วย 

 

  • ระยะที่ 4 เกิดการลุกลามไปยังบริเวณอวัยวะใกล้เคียง และต่อมน้ำเหลืองมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดโต หรือโรคอาจมีการแพร่ไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น กระดูก, ตับ และปอด เป็นต้น 

 

 

กลุ่มเสี่ยงของโรคมะเร็งช่องปาก

 

  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่เป็นประจำ 

 

  • ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งช่องปาก

 

ผู้ใหญ่

 

  • ผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป

 

  • ผู้ที่เป็นภาวะทุพโภชนาการ

 

  • ผู้ประกอบอาชีพที่ต้องอยู่กลางแจ้ง หรือมีการสัมผัสกับแดดโดยไม่มีการป้องกัน 

 

 

การวินิจฉัยมะเร็งช่องปาก

 

  • การเข้ารับการตรวจร่างกายเบื้องต้น 

 

  • การตัดชิ้นเนื้อบางส่วน และนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

 

  • การเจาะดูดด้วยเข็มเล็ก จะคล้ายกับการตรวจเลือด โดยแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กดึงตัวอย่างเซลล์และของเหลวออกมาจากก้อน เพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง 

 

  • การส่องกล้องตรวจภายในโพรงจมูก เมื่อมีเซลล์ต้องสงสัยที่บริเวณคอ, จมูก 

 

  • การส่องกล้องตรวจกล่องเสียง แพทย์จะสอดกล้องที่มีความยืดหยุ่นเข้าไปในช่องปากหรือจมูก เพื่อตรวจดูบริเวณหลังโพรงจมูกและกล่องเสียง 

 

  • การตรวจภาพทางรังสี เช่น MRI, X-ray และ CT-Scan เป็นต้น

 

 

การรักษามะเร็งช่องปาก

 

  • การผ่าตัด เพื่อนำเอาก้อนมะเร็งออก มักใช้วิธีนี้ขณะที่มะเร็งยังอยู่ในระยะที่ 1, 2 และเริ่มต้นเข้าระยะที่ 3 

 

  • รังสีรักษา อาจเป็นการรักษาโดยใช้รังสีเพียงอย่างเดียว หรือการใช้รังสีร่วมกับการผ่าตัด และเคมีบำบัด โดยถ้ามีการฉายรังสีติดต่อกัน 5 วัน วันละ 1 ครั้ง เป็นระยะเวลา 6 - 7 สัปดาห์  แพทย์อาจพิจารณาใช้การรักษาทางรังสีโดยใส่แร่ แต่จะใช้วิธีนี้ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น 

 

  • เคมีบำบัด มักใช้ร่วมกับการผ่าตัด และการฉายรังสี วิธีนี้จะใช้ในผู้ป่วยรายที่ไม่สามารถผ่าตัด หรือการใช้รังสีรักษาได้ ซึ่งมักใช้เคมีบำบัดในกรณีที่ต้องการรักษาแบบประคับประคอง

 

  • การใช้ยาเจาะจงเซลล์มะเร็ง เพื่อยับยั้งการทำงานของโปรตีนในเซลล์มะเร็ง การรักษาวิธีนี้สามารถใช้ควบคู่ไปกับการใช้รังสีรักษา หรือเคมีบำบัดได้ 

 

 

การป้องกันมะเร็งช่องปาก

 

  • งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก 

 

  • การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ 

 

  • หากเกิดแผลเรื้อรังที่ผิดปกติขึ้นภายในช่องปาก ควรเข้าพบทันตแพทย์ทันที

 

เข้าพบทันตแพทย์

 

  • เข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ทุก 6 เดือน

 

 

มะเร็งช่องปาก เป็นอีกหนึ่งโรคมะเร็งที่เราสามารถป้องกันได้ โดยการดูแลใส่ใจสุขภาพช่องปากให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค พร้อมเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์สม่ำเสมอ หากท่านใดพบอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก ควรเข้าพบทันตแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาต่อไป