อย่างที่ทราบกันดีว่าถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส หนองใน เริม หูดหงอนไก่ รวมทั้งช่วยในเรื่องของการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ส่วนใหญ่ทั่วไปมักจะพบในรูปแบบปลอก สวมองคชาต สีชมพูใส ๆ หากผู้ชายไม่ป้องกันโอกาสที่จะแพร่เชื้อโรค หรืออสุจิเข้าไปปฏิสนธิกับไข่สูงมาก แต่ปัจจุบันถุงยางอนามัยออกแบบมาเพื่อให้สุภาพสตรีใช้สำหรับป้องกันตนเองได้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มอรรถรส และสีสันของกิจกรรมทางเพศ
ควรเลือกถุงยางอนามัยที่มีขนาดพอดีกับองคชาตขณะแข็งตัว ไม่คับแน่น หรือหลวมเกินไป เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุ การฉีกขาด หรือหลุดเข้าไปในช่องคลอด และทวารหนักได้ ซึ่งวัดได้จากเส้นรอบวงองคชาต ไม่ใช่ความยาวเพียงอย่างเดียว
49 มิลลิเมตร
52 มิลลิเมตร
54 มิลลิเมตร
56 มิลลิเมตร
ทำมาจากโพลียูรีเทน (Polyurethane) แตกต่างจากถุงยางอนามัยตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปที่ผลิตจากลาเทกซ์ (Latex) ลักษณะเป็นถุงที่มีวงแหวน 2 ด้าน อันที่เป็นปลายปิดจะถูกสอดเข้าไปในช่องคลอด ส่วนปลายเปิดของถุงยางจะอยู่ที่บริเวณปากทางเข้าอวัยวะเพศหญิง แม้ว่าประเทศไทยยังไม่ค่อยมีวางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย แต่สามารถสอบถามจากคลินิกอนามัยทางเพศ หากซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ควรตรวจสอบว่าผู้ขายเป็นเภสัชกร หรือผู้ค้าปลีกที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ทั่วไปมักจะเรียกว่า ถุงยางยาชา โดยด้านในบริเวณส่วนปลายจะมีสารเบนโซเคน (Benzocaine) ที่ช่วยเรื่องของอาการหลั่งเร็ว เนื่องจากปลายองคชาตมีเส้นประสาทรับความรู้สึกอยู่มาก อาจทำให้เกิดอาการการไวต่อการสัมผัสในผู้ชายบางราย แต่ปัญหานี้จะแก้ไขโดยใช้ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ได้ หากสาเหตุเกิดจากภาวะทางจิตใจ เช่น เครียด วิตกกังวล ตื่นเต้น ขณะมีเพศสัมพันธ์
เป็นตัวช่วยให้กิจกรรมทางเพศราบรื่นยิ่งขึ้น ใช้ได้ทุกส่วนกับอวัยวะในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอด องคชาต ทวารหนัก มี 3 ชนิด
เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพราะเพียงชั้นเดียวก็มีประสิทธิภาพเพียงพอแล้ว ยิ่งสวมหลาย ๆ ชั้น เพื่อชะลอการหลั่งเร็ว เพิ่มขนาดอวัยวะเพศ ลดการฉีกขาด ล้วนแล้วแต่เป็นความเข้าใจผิดทั้งนั้น เพราะมีโอกาสที่ถุงยางจะหลุดเข้าไปค้างในช่องคลอดของฝ่ายหญิงมีสูง รวมทั้งทำให้ถุงเสียดสีกันจนแตกได้ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือการคุมกำเนิดลดน้อยถอยลงไปอีกด้วย
หลายท่านอาจจะคุ้นเคย หรือได้ยินเกี่ยวกับเชื้อ HPV (Human Papillomavirus) มักจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิง แต่ความจริงแล้ว ไวรัสนี้มีมากกว่า 150 สายพันธุ์ โดยเฉพาะ 16 และ 18 ก่อให้เกิดโรคมะเร็งที่มดลูก ช่องคอ องคชาต ทวารหนัก ดังนั้นการใช้ถุงยางอนามัย และฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อนี้ ทั้งผู้หญิง ชาย และกลุ่มรักร่วมเพศ จะช่วยป้องกันความรุนแรงหากติดเชื้อได้ อีกทั้งประสิทธิภาพของวัคซีนจะสูง หากได้รับก่อนอายุ 26 ปี เพราะหลังจากนี้ป้องกันเฉพาะสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อนเท่านั้น
องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้มีปริมาณสารหล่อลื่นในถุงยางอนามัยอยู่ในช่วง 400–600 มิลลิกรัม ต้องการหาเพิ่มเติม ควรหลีกเลี่ยงเบบี้ออยล์ ปิโตรเลียม โลชั่น น้ำมันพืช เพราะจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ แตกง่าย ไม่สามารถใช้คุมกำเนิด หรือป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV Vaccine
ถุงยางอนามัย ป้องกันได้แค่ไหนเมื่อมีเพศสัมพันธ์