ติดหวาน จะเลิกยังไงดีนะ
ติดหวาน จะเลิกยังไงดีนะ

ติดหวาน (Sugar Blues) หรือภาวะเสพติดน้ำตาล คือร่างกายมีความต้องการรับประทานอาหาร เครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานอยู่ตลอดเวลา หากไม่ได้ทานจะแสดงอารมณ์ที่ผิดปกติ จากการหิวโหย โดยเฉพาะช่วงเวลาประมาณสิบโมงเช้า และบ่ายสามโมง หากยังไม่เลิก หรือทำการแก้ไขสภาวะนี้ จะทำให้ร่างกายมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากโรคร้ายต่างๆ

 

 

สาเหตุของอาการติดหวาน

 

พฤติกรรม

 

  • เมื่อรับประทานของหวานเข้าไปแล้ว จะไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขที่ชื่อว่า โดพามีน จนเกิดการเสพติด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในผู้ที่ประสบกับภาวะเครียดเรื้อรัง นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ตามกลไกของธรรมชาติจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่ขาดสมดุล ความอยากรับประทานอาหารหวาน หรือมีไขมันสูงจึงมีมากขึ้น รับประทานในปริมาณมากเท่าใดก็ไม่อิ่ม หากรสชาตินั้นไม่หวานจัด

 

กรรมพันธุ์

 

  • ผู้ที่ประสบภาวะเสพติดน้ำตาล บางรายมียีน (Gene) ที่ติดความหวานมาจากบรรพบุรุษ รวมทั้งความแตกต่าง การเลี้ยงดูแลบุตรหลานของแต่ละบ้านก็ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของการรับประทานอาหาร หากพ่อ แม่ ไม่มีวินัยในเรื่องของโภชนาการ ก็เป็นเรื่องที่ยากจะปลูกฝังให้เด็กเป็นคนรักสุขภาพ

 

 

ติดหวาน

 

 

อาการติดหวาน

 

  • รับประทานอาหารที่มีรสชาติหวานเป็นประจำ

 

  • เติมน้ำตาลลงในอาหารเพิ่มเติม

 

  • หิวบ่อย คิดถึงเมนูอาหารหวานตลอด

 

  • มักจะมีอาหาร และเครื่องดื่มเต็มอยู่ภายในตู้เย็น

 

  • เลือกดื่มน้ำที่มีรสหวานมากกว่าน้ำเปล่า

 

  • รับประทานผลไม้ตากแห้ง ดอง แช่อิ่มหรือผลไม้สดรสหวานจัด เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก 

 

  • หากรับประทานของที่ไม่ถูกปากจะมีอาการ  หงุดหงิด เหนื่อยล้า หดหู่ เศร้าผิดปกติ หรืออารมณ์เสีย

 

 

ติดหวานเสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง

 

  • โรคอ้วน

 

  • โรคหัวใจ

 

  • เบาหวาน

 

  • ความดัน ไขมัน และกรดยูริกในเลือดสูง

 

  • ไขมันพอกที่บริเวณตับ และไต

 

  • โรคเกาต์

 

  • ฟันผุ

 

 

ออกกำลังกาย

 

 

ติดหวานแก้ไขอย่างไร

 

  • สังเกตปริมาณน้ำตาล และวัตถุดิบบนฉลากผลิตภัณฑ์ ทุกครั้งก่อนรับประทาน

 

  • ไม่ปรุงนํ้าตาลในอาหารเพิ่มเติม

 

  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม

 

  • ดื่มน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มที่ไม่ผสมน้ำตาล

 

  • รับประทานผลไม้หวานน้อย เช่น ชมพู่ แตงโม ฝรั่ง

 

  • หลีกเลี่ยงการบริโภคผลไม้แปรรูป เช่น กล้วยตาก มะม่วงแช่บ๊วย

 

  • เพิ่มปริมาณผักใบเขียวในอาหาร เพราะมีส่วนช่วยชะลอการดูดซึมนํ้าตาล ส่งผลให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  • ไม่ซื้อขนมตุนไว้ในตู้เย็น

 

  • ไม่อดอาหาร รับประทานอย่างตรงต่อเวลา และถูกหลักโภชนาการ

 

 

องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดการบริโภคน้ำตาลไว้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา อีกทั้งยังควรควบคุมสารอาหารประเภทแป้ง โซเดียม ไขมัน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้หากรับประทานมากเกินไปก็ก่อให้เกิดโรคได้เช่นกัน หากรู้สึกว่าตนเองเครียด กรุณาแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ควรนอนหลับพักผ่อน วางแผนการทำงานให้ดีขึ้น หรือไปออกกำลังกายจะทำให้สุขภาพดีกว่า

 

 

 


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

 

รวมตรวจสุขภาพประจำปี