รอยช้ำ
รอยช้ำ ร่องรอยจากอาการบาดเจ็บที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้

 

รอยช้ำ, รอยฟกช้ำ (Bruise) มักจะเกิดขึ้นกับเราโดยที่ไม่รู้ตัว อาจจะเป็นการเดินชนสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ พอมาเริ่มสังเกตบริเวณที่ได้รับการกระแทก จะเห็นว่ามีรอยช้ำปรากฏขึ้นมา ซึ่งรอยช้ำนี้หากเกิดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงโรคและปัญหาสุขภาพได้ 

 

 

สาเหตุของรอยช้ำ

 

เป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการกระแทก หรือการได้รับแรงกดที่รุนแรงบริเวณเดิม จนส่งผลทำให้เส้นเลือดฝอยแตก เมื่อเส้นเลือดฝอยได้รับความเสียหายแล้ว เลือดจะรั่วออกมาและสะสมอยู่ภายใต้ผิวหนังทำให้เกิดเป็นรอยช้ำขึ้นมา โดยผู้คนบางกลุ่มมักจะเกิดรอยช้ำได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะอาจเกิดจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางด้านสุขภาพ เช่น 

 

  • ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

 

กีฬาต่อสู้

 

  • การกระแทกหรือได้รับแรงกดอย่างรุนแรง เช่น การชนขอบโต๊ะ, กีฬาที่มีการปะทะหรือการต่อสู้ เป็นต้น 

 

  • ร่างกายขาดสารอาหาร เช่น วิตามินซี 

 

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวบอบบางกว่าเดิม จนทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย 

 

  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน เป็นต้น 

 

 

รอยช้ำมีอาการอย่างไร ? 

 

ในตอนแรกสีของรอยช้ำจะเป็นสีแดงหรือม่วง แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 - 2 วัน จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน หรือสีม่วงเข้ม โดยเมื่อไปสัมผัสโดนบริเวณที่เป็นรอยช้ำอยู่ อาจรู้สึกปวดหรือเจ็บร่วมด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัก 2 - 3 วัน สีของรอยช้ำจะเปลี่ยนไปอีกรอบ โดยอาจจะกลายเป็นสีเขียว, สีเหลือง, สีน้ำตาล ซึ่งสีที่เปลี่ยนไปนี้จะเกิดขึ้นเมื่อรอยช้ำเริ่มจางลง แต่ถ้าหากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบเข้าพบแพทย์ทันที เช่น 

 

  • มีรอยช้ำเกิดขึ้นบนร่างกายบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

  • รอยช้ำมีการเพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว และใหญ่ขึ้นกว่าปกติ

 

  • มีอาการปวดหรือบวมบริเวณที่เกิดรอยช้ำอย่างรุนแรง 

 

  • เมื่อผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว รอยช้ำยังคงอยู่และมีทีท่าว่าจะแย่ลงเรื่อย ๆ 

 

 

สัญญาณบอกโรคจากรอยช้ำ

 

  • โรคที่เกี่ยวกับระบบเลือดและหลอดเลือด เช่น เลือดออกผิดปกติ, ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น 

 

  • รอยช้ำเรื้อรัง หากเกิดขึ้นควรเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุทันที 

 

  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว 

 

 


กลุ่มบุคคลที่อาจเกิดรอยช้ำได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

 

ผู้สูงอายุ

 

  • ผู้สูงอายุ เพราะผิวหนังที่บอบบางลง

 

  • ผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินซี 

 

  • ผู้ที่มีการใช้ยาแอสไพริน, ยาวาร์ฟาริน 

 

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับเลือด เช่น โรคฮีโมฟีเลีย หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น 

 

 

การวินิจฉัยรอยช้ำ

 

โดยทั่วไป แพทย์อาจวินิจฉัยรอยช้ำจากการซักถามประวัติ อาการ และการตรวจร่างกายผู้ป่วย ถ้ามีรอยช้ำเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีอาการเลือดออกร่วมด้วย เช่น ร่างกายขาดวิตามิน, เลือดมีการแข็งตัว เป็นต้น แพทย์จะดำเนินวิธีการรักษาตามสาเหตุที่พบต่อไป

 

 

การรักษารอยช้ำ

 

  • การประคบเย็น จะช่วยรักษารอยช้ำที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะทำให้หลอดเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการแข็งตัว โดยวิธีการประคบนั้น ควรใช้ถุงน้ำแข็งที่ห่อผ้า ไม่ควรใช้ถุงน้ำแข็งสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง หรืออาจจะใช้เป็นเจลประคบเย็นได้เช่นกัน

 

ประคบร้อน

 

  • การประคบร้อน เมื่อมีการประคบเย็นเป็นระยะเวลาผ่านไปประมาณ 48 ชั่วโมงแล้ว ให้เปลี่ยนมาใช้วิธีการประคบร้อน เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปยังบริเวณรอยช้ำ และทำให้หายเร็วยิ่งขึ้น

 

  • 24 ชั่วโมงแรกในการเกิดรอยช้ำ ควรยกขาหรือบริเวณที่เกิดรอยช้ำให้สูง พยายามพักและอย่าใช้ร่างกายส่วนที่เป็นรอยช้ำหนัก

 

  • รับประทานยาแก้ปวด หากรอยช้ำมีอาการปวดร่วมด้วย 

 

 

การป้องกันรอยช้ำ

 

  • จัดระเบียบสิ่งของ, ภาชนะ หรือเฟอร์นิเจอร์ ให้เป็นระเบียบ ควรจัดให้มีระยะห่างของพื้นที่ไม่แคบจนเกินไป 

 

  • ติดตั้งไฟภายในบ้านให้สว่างอยู่เสมอ ถ้าหากเดินในที่มืดควรใช้อุปกรณ์ที่ส่องแสงสว่างเป็นตัวช่วย เพื่อลดอุบัติเหตุในการกระแทกหรือชนกับสิ่งของภายในบ้าน

 

ดื่มน้ำส้ม

 

  • การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีวิตามินซี เช่น ผักใบเขียว, ฝรั่ง หรือน้ำส้ม เป็นต้น 

 

  • หากจำเป็นต้องรับประทานยาที่มีผลต่อระบบเลือด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เสมอ

 

  • ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันร่างกายของตนเองเสมอ หากต้องเล่นกีฬาที่มีการเข้าปะทะ 

 

 

ถ้าหากเป็นอุบัติเหตุจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา รอยช้ำที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดกับทุกคน แต่ถ้าหากเกิดเป็นรอยช้ำขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของการเกิดรอยช้ำ และดำเนินการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ต่อไป