รอยช้ำ, รอยฟกช้ำ (Bruise) มักจะเกิดขึ้นกับเราโดยที่ไม่รู้ตัว อาจจะเป็นการเดินชนสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ พอมาเริ่มสังเกตบริเวณที่ได้รับการกระแทก จะเห็นว่ามีรอยช้ำปรากฏขึ้นมา ซึ่งรอยช้ำนี้หากเกิดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงโรคและปัญหาสุขภาพได้
เป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการกระแทก หรือการได้รับแรงกดที่รุนแรงบริเวณเดิม จนส่งผลทำให้เส้นเลือดฝอยแตก เมื่อเส้นเลือดฝอยได้รับความเสียหายแล้ว เลือดจะรั่วออกมาและสะสมอยู่ภายใต้ผิวหนังทำให้เกิดเป็นรอยช้ำขึ้นมา โดยผู้คนบางกลุ่มมักจะเกิดรอยช้ำได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะอาจเกิดจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางด้านสุขภาพ เช่น
ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
การกระแทกหรือได้รับแรงกดอย่างรุนแรง เช่น การชนขอบโต๊ะ, กีฬาที่มีการปะทะหรือการต่อสู้ เป็นต้น
ร่างกายขาดสารอาหาร เช่น วิตามินซี
อายุที่เพิ่มมากขึ้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวบอบบางกว่าเดิม จนทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย
ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน เป็นต้น
ในตอนแรกสีของรอยช้ำจะเป็นสีแดงหรือม่วง แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 - 2 วัน จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน หรือสีม่วงเข้ม โดยเมื่อไปสัมผัสโดนบริเวณที่เป็นรอยช้ำอยู่ อาจรู้สึกปวดหรือเจ็บร่วมด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัก 2 - 3 วัน สีของรอยช้ำจะเปลี่ยนไปอีกรอบ โดยอาจจะกลายเป็นสีเขียว, สีเหลือง, สีน้ำตาล ซึ่งสีที่เปลี่ยนไปนี้จะเกิดขึ้นเมื่อรอยช้ำเริ่มจางลง แต่ถ้าหากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบเข้าพบแพทย์ทันที เช่น
มีรอยช้ำเกิดขึ้นบนร่างกายบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ
รอยช้ำมีการเพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว และใหญ่ขึ้นกว่าปกติ
มีอาการปวดหรือบวมบริเวณที่เกิดรอยช้ำอย่างรุนแรง
เมื่อผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว รอยช้ำยังคงอยู่และมีทีท่าว่าจะแย่ลงเรื่อย ๆ
โรคที่เกี่ยวกับระบบเลือดและหลอดเลือด เช่น เลือดออกผิดปกติ, ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น
รอยช้ำเรื้อรัง หากเกิดขึ้นควรเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุทันที
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ผู้สูงอายุ เพราะผิวหนังที่บอบบางลง
ผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินซี
ผู้ที่มีการใช้ยาแอสไพริน, ยาวาร์ฟาริน
ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับเลือด เช่น โรคฮีโมฟีเลีย หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น
โดยทั่วไป แพทย์อาจวินิจฉัยรอยช้ำจากการซักถามประวัติ อาการ และการตรวจร่างกายผู้ป่วย ถ้ามีรอยช้ำเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีอาการเลือดออกร่วมด้วย เช่น ร่างกายขาดวิตามิน, เลือดมีการแข็งตัว เป็นต้น แพทย์จะดำเนินวิธีการรักษาตามสาเหตุที่พบต่อไป
การประคบเย็น จะช่วยรักษารอยช้ำที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะทำให้หลอดเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการแข็งตัว โดยวิธีการประคบนั้น ควรใช้ถุงน้ำแข็งที่ห่อผ้า ไม่ควรใช้ถุงน้ำแข็งสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง หรืออาจจะใช้เป็นเจลประคบเย็นได้เช่นกัน
การประคบร้อน เมื่อมีการประคบเย็นเป็นระยะเวลาผ่านไปประมาณ 48 ชั่วโมงแล้ว ให้เปลี่ยนมาใช้วิธีการประคบร้อน เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปยังบริเวณรอยช้ำ และทำให้หายเร็วยิ่งขึ้น
24 ชั่วโมงแรกในการเกิดรอยช้ำ ควรยกขาหรือบริเวณที่เกิดรอยช้ำให้สูง พยายามพักและอย่าใช้ร่างกายส่วนที่เป็นรอยช้ำหนัก
รับประทานยาแก้ปวด หากรอยช้ำมีอาการปวดร่วมด้วย
จัดระเบียบสิ่งของ, ภาชนะ หรือเฟอร์นิเจอร์ ให้เป็นระเบียบ ควรจัดให้มีระยะห่างของพื้นที่ไม่แคบจนเกินไป
ติดตั้งไฟภายในบ้านให้สว่างอยู่เสมอ ถ้าหากเดินในที่มืดควรใช้อุปกรณ์ที่ส่องแสงสว่างเป็นตัวช่วย เพื่อลดอุบัติเหตุในการกระแทกหรือชนกับสิ่งของภายในบ้าน
การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีวิตามินซี เช่น ผักใบเขียว, ฝรั่ง หรือน้ำส้ม เป็นต้น
หากจำเป็นต้องรับประทานยาที่มีผลต่อระบบเลือด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เสมอ
ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันร่างกายของตนเองเสมอ หากต้องเล่นกีฬาที่มีการเข้าปะทะ
ถ้าหากเป็นอุบัติเหตุจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา รอยช้ำที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดกับทุกคน แต่ถ้าหากเกิดเป็นรอยช้ำขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของการเกิดรอยช้ำ และดำเนินการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ต่อไป