โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease หรือ CKD) คือ ภาวะที่ไตมีการทำงานผิดปกติ หรือเสื่อมสภาพลง โดยมีระยะเวลาของการทำงานผิดปกติตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ทำให้การกำจัดของเสียออกจากเลือด และการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายเกิดความบกพร่อง ส่งผลให้ไม่สามารถขับของเสีย และน้ำส่วนเกินออกจากกระแสเลือดได้ โดยในระยะแรกจะไม่แสดงอาการใด ๆ หากปล่อยไว้เป็นเวลานาน และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เสี่ยงเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้
สาเหตุส่วนใหญ่ร้อยละ 70 เกิดจากโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ส่วนโรคอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุอีก ได้แก่ โรคเกาต์ โรคนิ่วในไต เป็นต้น โดยโรคเหล่านี้ย่อมมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหาร และหากบริโภคอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กลายเป็นโรคไตเรื้อรัง และไตวายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำที่ไตกับการได้รับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เป็นระยะเวลานาน อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคนี้ได้เช่นกัน
คนไทยมีพฤติกรรมการทานอาหารที่มีโซเดียมสูง โดยเฉพาะคนในวัยทำงานที่บริโภคอาหารสำเร็จรูปที่มีปริมาณโซเดียมสูงจึงมีแนวโน้มป่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งมีสถิติผู้ป่วยรวมเกือบ 15 ล้านคน แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตัวเองป่วย เพราะในระยะแรกจะไม่แสดงอาการใด ๆ จะแสดงอาการต่อเมื่อไตเสียหายไปมากแล้ว โดยต้องได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย และสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาจำนวนมาก
เบื่ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน และอาจอาเจียนเป็นเลือด
อ่อนเพลีย
ตัวซีด โลหิตจาง
คันตามเนื้อตัว
อาจมีอาการชัก สมองหยุดทำงาน และหมดสติ
เป็นหมัน และหมดสมรรถภาพทางเพศ
มีอาการบวมบริเวณรอบดวงตา เท้า และท้อง โดยจะเป็นรอยบุ๋มเมื่อออกแรงกด
ในสตรีอาจพบว่ามีการขาดประจำเดือน
มีอาการปวดเอว หรือบริเวณหลังด้านข้าง
ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
สามารถแบ่งออกได้ 5 ระยะ ตามระดับอัตราการกรองของไต
ระยะที่ 1 อาจพบไตอักเสบและเกิดภาวะไตผิดปกติ เช่น มีโปรตีนรั่วอยู่ภายในปัสสาวะ แต่ว่าอัตราการกรองยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ระยะที่ 2 การทำงานของไตเริ่มลดลง แต่ยังไม่มีการแสดงอาการออกมา จะพบความผิดปกติคล้ายระยะแรก แต่อัตราการกรองมีการลดลงเล็กน้อย
ระยะที่ 3a พบว่าอัตราการกรองลดลงเล็กน้อยจนถึงปานกลาง
ระยะที่ 3b พบว่าอัตราการกรองมีการลดลงปานกลางจนถึงมาก
ระยะที่ 4 อัตราการกรองมีการลดลงอย่างมาก ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผิวแห้งและมีการคัน เป็นต้น
ระยะที่ 5 เกิดไตวายระยะสุดท้าย อาจมีภาวะโลหิตจางรุนแรงเพิ่มขึ้น และมีการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต และสารต่าง ๆ ในเลือด ส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะกระดูกบางและเปราะง่าย
ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี
ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคไต
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น โรคเอสแอลอี
ผู้ที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะมาหลายครั้ง
ผู้ที่รับประทานยาที่มีผลต่อไต เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน เป็นต้น
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต เป็นต้น
ผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ และสูบบุหรี่
ปอดอักเสบ ปลายประสาทอักเสบ และเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
โรคทางหัวใจและหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดอุดตัน หัวใจวาย หรือหัวใจขาดเลือด
ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานหนัก
มีภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
อาจเกิดอาการ Uremia เป็นกลุ่มอาการในภาวะท้ายของโรคไตวาย ผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปลายประสาทเสื่อม เกิดความคิดสับสน ชัก และหมดสติ
การตรวจปัสสาวะ เพื่อเช็คปริมาณของปัสสาวะที่ร่างกายได้ขับออกมา ซึ่งอาจมีการสังเกตโปรตีน เม็ดเลือดแดงและขาวปะปนออกมากับปัสสาวะ เพื่อดูการทำงานของไต
การตรวจเลือด เพื่อดูประสิทธิภาพการกรองของไต หากผู้ป่วยมีภาวะไตวาย ปริมาณของกรดยูเรีย ครีเอตินิน และไนโตรเจน จะตกค้างอยู่ในเลือดสูง
หาค่าประเมินการทำงานของไต แพทย์จะมีการหาค่า eGFR เพิ่มเติม เพื่อดูการทำงานของไตว่าสามารถกรองเลือดได้เท่าไรต่อนาที
การตรวจอัลตราซาวด์ และเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ แพทย์จะใช้วิธีการนี้เพื่อดูภาพการทำงานไต และทางเดินปัสสาวะของผู้ป่วยได้ชัดเจนขึ้น
ล้างช่องท้องด้วยน้ำยา (CAPD) เป็นการใส่น้ำยาเข้าไปในช่องท้องประมาณ 2 ลิตร โดยทำวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 6 ชั่วโมงอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
การฟอกเลือด (Hemodialysis) เป็นการนำเลือดเสียผ่านเข้าไปในเครื่องกรองเลือด และนำเลือดที่ถูกกรองสะอาดแล้วกลับสู่ร่างกายอีกครั้ง
การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation) ผ่าตัดเปลี่ยนไตจะทำได้ 2 วิธี คือ ผู้ป่วยจะได้รับบริจาคอวัยวะจากสภากาชาดไทย หรืออาจได้รับการปลูกถ่ายไตจากญาติพี่น้องร่วมสายโลหิต หรือจากคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาอย่างน้อย 3 ปี
ดื่มน้ำให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ลดอาหารที่มีไขมันสูง
หากเป็นโรคอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน ควรควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
หลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อไต เช่น ยาสมุนไพร ยาลูกกลอน เป็นต้น
เข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และผู้ป่วยโรคไตจะต้องจำกัดอาหาร โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณโซเดียมมาก และจำกัดอาหารที่มีรสจัด รวมถึงรับประทานเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ไข่ และนมในปริมาณที่น้อยลง
หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก หรือเล่นกีฬาที่หักโหมจนเกินไป
รับประทานยาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด
ไตเรื้อรัง อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน และทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น การตรวจร่างกายตั้งแต่เนิ่น ๆ นอกจากจะช่วยให้เราค้นพบโรคที่ซ่อนอยู่แล้ว ยังช่วยให้เราสามารถรักษาโรคได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินแก้ หากผู้ป่วยมีอาการเข้าข่าย ให้รีบเข้าพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่อาจส่งผลให้เสียชีวิตได้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง