โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ มักเกิดขึ้นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากมีท่อปัสสาวะที่สั้นและอยู่ใกล้ช่องคลอดกับทวารหนัก ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่าย นอกจากนี้พฤติกรรมบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ เช่น การกลั้นปัสสาวะ และการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
การกลั้นปัสสาวะ ทำให้เชื้อโรคในปัสสาวะสามารถเจริญเติบโตได้
การทำความสะอาดทวารหนักก่อนทำความสะอาดอวัยวะเพศ
การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
การใช้ยาปฏิชีวนะสวนล้างทำความสะอาดช่องคลอด จะทำให้เชื้อแบคทีเรียชนิดดีที่ป้องกันเชื้อโรคหายไป จึงเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
การรับประทานยากดภูมิต้านทาน
การใช้เครื่องมือแพทย์สอดใส่ท่อปัสสาวะ เช่น การใส่สายสวนปัสสาวะ, การส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะ เป็นต้น
ปัสสาวะกะปริบกะปรอยบ่อยครั้ง แม้กระทั่งการตื่นนอนมาปัสสาวะในตอนกลางคืน
ร่างกายอ่อนเพลีย, มีไข้สูงหรือต่ำ
ปวดท้องน้อย, ปัสสาวะแสบขัด , มีสีขุ่น, มีกลิ่นเหม็น
ในผู้ป่วยบางรายอาจมีเลือดปนมากับปัสสาวะ
มีอาการเจ็บหรือเสียวที่ปลายหลอดปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะเสร็จ
หากเกิดขึ้นในเด็กเล็ก อาจมีการปัสสาวะรดที่นอน, มีไข้, อาเจียน และเบื่ออาหารได้
เอสเชอริเชีย โคไล หรือ อีโคไล (Escherichia coli : E.coli)
เอนเทอโรแบกเตอร์ (Enterobacter)
สูโดโมแนส (Pseudomonas)
เคล็บซิลลา (Klebsiella)
โดยเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้มักจะอยู่บริเวณรอบทวารหนัก สามารถเข้าสู่ร่างกายได้จากพฤติกรรม เช่น การใช้ผ้าอนามัยแบบสอด, การทำความสะอาดหลังจากขับถ่ายอุจจาระผิดวิธี และการมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
ในแต่ละวันมีการดื่มน้ำน้อย และชอบกลั้นปัสสาวะนาน
สตรีวัยหมดประจำเดือน
ผู้สูงอายุเพศชาย 50 ปีขึ้นไป ที่ป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, นิ่ว, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น
สตรีที่มีการสวนล้างช่องคลอดบ่อย
ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะบ่อย ๆ
แพทย์จะมีการซักถามประวัติผู้ป่วย และตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจปัสสาวะโดยการส่งเพาะเชื้อ เพื่อดูว่ามีเม็ดเลือดแดงและขาวที่ปนออกมากับปัสสาวะหรือไม่ สีกับความเข้มข้นของปัสสาวะเป็นอย่างไร นอกจากนี้หากผู้ป่วยมีประวัติการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะบ่อย ๆ แพทย์อาจพิจารณาตรวจอัลตราซาวด์หรือการส่องกล้องที่กระเพาะปัสสาวะว่ามีความผิดปกติหรือไม่
การให้ยาปฏิชีวนะประมาณ 3-5 วัน แต่ถ้าหากอาการรุนแรงต้องเพิ่มระยะเวลาในการรับยาปฏิชีวนะประมาณ 7-10 วัน
รับประทานยาที่มีการลดปวดเกร็งที่ท้องน้อย จะช่วยให้อาการปวดที่บริเวณท้องน้อยดีขึ้น
แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำประมาณ 8 - 10 แก้วต่อวัน เพื่อให้เชื้อแบคทีเรียถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ
ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉพาะหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะออกมา
ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ
การใช้ฝักบัวอาบน้ำแทนการอาบในอ่าง ช่วยลดความเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกาย
ทำความสะอาดอวัยวะเพศก่อน จึงค่อยทำความสะอาดทวารหนัก เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียจากทวารหนักแพร่กระจายไปยังอวัยวะเพศ
ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอวัยวะเพศสูตรอ่อนโยน แทนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมี และน้ำหอม
เลือกใช้ชุดชั้นในที่มีเนื้อผ้าระบายได้ดี ลดความอับชื้นบริเวณอวัยวะเพศ
พยายามควบคุมอาการของโรคประจำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด
ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง เพราะอาจทำให้ดื้อยาได้ง่าย หากมีความประสงค์จะรับประทานยา ควรปรึกษาหรือรับประทานยาภายใต้คำกำกับของแพทย์เท่านั้น
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้ามอย่างมาก ยิ่งกับบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค ทางที่ดีควรดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรง และปราศจากโรคภัยเหล่านี้เสมอ หากท่านใดมีอาการเข้าข่ายว่าตนเองจะเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย รักษา และรับคำแนะนำในการปรับพฤติกรรมตนเองต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ไลฟ์สไตล์กับความเสี่ยงที่คาดไม่ถึง