ปัญหาสุขภาพที่ใครสักคนหนึ่งมีโอกาสเสี่ยงเป็นได้มีหลายโรค เนื่องจากปัจจัยรอบตัวที่เต็มไปด้วยมลพิษและเชื้อโรคที่มากขึ้น แต่หลายคนอาจลืมไปแล้วว่าหนึ่งในโรคที่ควรระวังและมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกยุคสมัยโดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับมลภาวะรอบตัว คือ โรคความดันโลหิต ที่มีทั้งความดันโลหิตสูงและความดันโลหิตต่ำ ด้วยความเสี่ยงที่สามารถเป็นได้ทุกช่วงวัย เราจึงควรศึกษาข้อมูลของโรคนี้ก่อนจะสายเกินไป
ความดันโลหิตเป็นค่าความดันของกระแสเลือดที่ส่งแรงกระทบกับผนังหลอดเลือดแดง โดยเกิดจากกระบวนการสูบฉีดเลือดของหัวใจ สามารถวัดความดันโลหิตได้ 2 ค่า คือ ค่าความดันช่วงบนจากการบีบตัวของหัวใจ และค่าความดันช่วงล่างจากการคลายตัวของหัวใจ ซึ่งความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากค่าความดันโลหิต คือ ความดันโลหิตสูง และความดันโลหิตต่ำ โดยเราสามารถตรวจหาอาการดังกล่าวได้ด้วยการวัดค่าความดันโลหิต
ก่อนวัดความดันโลหิต 30 นาที ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ กาแฟ ไม่ควรออกกำลังกาย และควรปรับสภาวะอารมณ์ให้เป็นปกติ ไม่ควรมีภาวะทางอารมณ์เหล่านี้ เช่น โมโห โกรธ เครียด เป็นต้น
สวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ไม่รัดแน่นจนเกินไป
พักก่อนทำการตรวจวัดความดันเป็นเวลา 5-15 นาที
ควรปัสสาวะก่อนทำการวัดความดัน
ไม่ควรพูดคุยมากเกินไปในขณะที่ทำการวัดความดัน
เป็นภาวะที่ความดันโลหิตต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งความดันโลหิตต่ำอาจเกิดจากความดันเลือดซิสโตลิกและไดแอสโตลิกต่ำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจเกิดขึ้นทั้งคู่ได้ โดยทั่วไปอาการของความดันโลหิตต่ำอาจหายเองได้หากผ่านไปช่วงขณะหนึ่ง แต่บางรายที่มีอาการรุนแรง จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา เพื่อประเมินความรุนแรงของอาการต่อไป
ภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินซี โปรตีน ส่งผลให้เนื้อเยื่อรอบผนังหลอดเลือดแดงไม่แข็งแรงและเกิดการคลายตัวมากเกินไป
มีการสูญเสียโลหิตกะทันหัน เช่น การเสียเลือดขณะเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น
การสูญเสียน้ำกะทันหัน เช่น ท้องเสียหรือเหงื่อออก
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง หรือโรคต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาลดความดัน
ความเครียด ภาวะซึมเศร้า พักผ่อนน้อย
ปกติแล้วความดันโลหิตต่ำจะไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ แต่หากอยู่ในภาวะที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ผู้ป่วยจะมีอาการเกิดขึ้นชั่วคราว ดังนี้
เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลมกะทันหัน
ใจเต้นแรง ใจสั่น
กระสับกระส่าย ขาดสมาธิ
ตาพร่ามัว คลื่นไส้
เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย กระหายน้ำ
หน้ามืดเมื่อมีการเปลี่ยนท่านั่ง หรือลุกขึ้นยืนกะทันหัน
ความดันโลหิตต่ำหลังรับประทานอาหาร
ส่วนมากจะมีผลกระทบต่อผู้สูงอายุ ซึ่งการรับประทานอาหารเยอะเกินไป อาจทำให้เลือดไหลไปที่ระบบทางเดินอาหารมากกว่าปกติ
ความดันโลหิตต่ำจากความเสียหายของระบบประสาท
อาการของความดันโลหิตต่ำประเภทนี้พบได้น้อยมาก ซึ่งหากเกิดอาการขึ้นมา จะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาทส่วนกลางที่เป็นตัวควบคุมการทำงานของระบบประสาท เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต หรือการหายใจ เป็นต้น ทำให้ไม่สามารถควบคุมได้ อาจส่งผลกระทบให้เกิดความดันโลหิตต่ำเมื่อลุกยืน และความดันโลหิตสูงเมื่อนอน
ความดันโลหิตต่ำจากความผิดปกติของสมอง
ส่วนมากจะเกิดขึ้นในเด็กและผู้ใหญ่ ความดันโลหิตต่ำประเภทนี้เกิดมาจากความผิดพลาดของสมองและหัวใจ ทำให้เป็นสาเหตุของความดันโลหิตต่ำหลังจากยืนเป็นเวลานาน
ความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนอิริยาบถแบบกะทันหัน
เกิดจากความดันโลหิตที่ลดลงอย่างเฉียบพลัน เมื่อลุกขึ้นยืนหรือนั่ง โดยระยะเวลาของอาการจะอยู่ประมาณ 5 - 10 นาทีหลังจากมีการเปลี่ยนอิริยาบถ
การตรวจเลือด เป็นการเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจสอบสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นการทดสอบจังหวะการเต้นของหัวใจ ว่ามีความสม่ำเสมอหรือไม่
การทดสอบระบบประสาทอัตโนมัติหัวใจด้วยเตียงปรับระดับ เพื่อดูค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยขณะเปลี่ยนอิริยาบถ
การบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง เพื่อบันทึกการทำงานของหัวใจตลอด 24 ชั่วโมงด้วยเครื่องบันทึกการทำงานของหัวใจขนาดเล็ก
การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย เพื่อดูการทำงานของหัวใจขณะออกกำลังกาย เพราะความผิดปกติของหัวใจบางชนิด อาจตรวจพบเมื่อหัวใจทำงานหนักหรือมีการสูบฉีดเลือดมากขึ้น
ตรวจปัสสาวะใน 24 ชั่วโมง แพทย์จะส่งบรรจุภัณฑ์ให้กับผู้ป่วย เพื่อเก็บปัสสาวะในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นจะนำเข้าห้องตรวจปฏิบัติการ โดยระหว่างก่อนคืนบรรจุภัณฑ์ให้แพทย์ ผู้ป่วยควรเก็บปัสสาวะไว้ในที่เย็น
หากมีอาการความดันโลหิตต่ำควรนั่งพัก หรือนอนลงทันทีโดยพยายามยกเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมอง
หลีกเลี่ยงการยืน หรือนั่งนาน ๆ
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในเวลากลางคืน และพยายามลดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง
เคลื่อนไหว หรือออกกำลังกายในช่วงเช้าเพื่อกระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจให้เพิ่มมากขึ้น อาจเป็นการไขว้ขา หรือบิดตัว เป็นต้น
พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการนอนดึก เพราะการนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ความดันโลหิตต่ำลง
อาหารกลุ่มโปรตีน เช่น นมวัว นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ไข่ เนื้อสัตว์
วิตามินบี เช่น เนื้อหมู ไก่ ถั่ว ข้าวกล้อง ไข่แดง ตับ ผักใบสีเขียวเข้ม
ไขมันดีจากปลา
หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันหรือโซเดียมสูง เช่น เบคอน ไส้กรอก หมูยอ เป็นต้น
หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ผลไม้ดอง
หลีกเลี่ยงขนมอบทุกชนิด เพราะมีส่วนประกอบโซเดียมสูง
หากวัดค่าความดันโลหิตปกติจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งวัดจากการบีบตัวและคลายตัวของหัวใจ (ความดันช่วงบนและช่วงล่าง) แต่หากวัดแล้วได้ค่าตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ถือว่ามีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง โดยหากต้องการความแน่นอนมากขึ้น ควรวัดเพิ่มอีกหลังได้ค่าความดันโลหิตสูงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง อีกประมาณ 2 - 3 สัปดาห์ นอกจากนี้ค่าความดันที่สูง อาจไม่ได้หมายถึงการเป็นความดันโลหิตสูงเสมอไป
โดยปกติผู้ที่มีอาการความดันโลหิตสูงมักจะตรวจไม่พบสาเหตุ แต่หากมีการตรวจพบ มักมีสาเหตุมาจากโรคหรือภาวะอื่น ๆ เช่น
พันธุกรรม
โรคไต หลอดเลือดแดงตีบ หลอดเลือดไตตีบ
เกิดเนื้องอกบริเวณต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไต
โรคประจำตัว เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคอ้วน เป็นต้น
เกิดจากพฤติกรรมหรือสาเหตุเสี่ยง ได้แก่ การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไป
นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
ปวดศีรษะเฉียบพลัน อาเจียน
ใจสั่น เหนื่อยง่ายแบบผิดปกติ
สูญเสียการมองเห็นจากตาข้างใดข้างหนึ่งชั่วขณะ
แขนและขาซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง
ความดันโลหิตระดับที่ดี ค่าความดันจะต่ำกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตระดับปกติ ค่าความดันจะอยู่ระหว่าง 120-129/80- 84 มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตระดับค่อนข้างสูง ค่าความดันจะอยู่ระหว่าง 130-139/85-89 มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตสูง ระดับเริ่มแรก ค่าความดันโลหิตจะอยู่ระหว่าง 140-159/90-99 มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตสูง ระดับปานกลาง ค่าความดันโลหิตจะอยู่ระหว่าง 160-179/100-109 มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตสูง ระดับรุนแรง ค่าความดันโลหิตจะมากกว่า 180/110 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป
แพทย์จะวินิจฉัยโดยดูจากการวัดค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยเป็นหลัก และจะมีการตรวจหลายครั้ง เพื่อความแม่นยำของผลตรวจ หลังจากนั้นแพทย์จะดำเนินการรักษาตามสาเหตุของอาการต่อไป
หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ยาที่ผู้ป่วยรับประทานอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้ จึงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้ และรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
ควบคุม และจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์
ดูแล และรักษาสุขภาพจิตให้เป็นปกติ พยายามผ่อนคลาย ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี หมั่นบริหารสุขภาพจิตอยู่เสมอ เช่น การนั่งสมาธิ การเล่นโยคะ ร้องเพลง หรือการทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้
ธัญพืชชนิดต่าง ๆ โดยเน้นไปที่ธัญพืชที่ไม่ขัดสี เพื่อเพิ่มกากใยและช่วยในการขับถ่าย พร้อมลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง
ผักและผลไม้ เพื่อเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานภายในร่างกาย
เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลาหรือเนื้อแดงที่ไม่ติดมัน ไม่ติดหนัง เป็นต้น
ไขมันหรือน้ำมัน ควรรับประทานไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน เน้นรับประทานอาหารประเภทที่มีไขมันดี เพราะไขมันจะช่วยดูดซึมวิตามินชนิดละลายน้ำด้วย
ถั่วเปลือกแข็ง เช่น ถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์ ควรรับประทาน 30 กรัมหรือ 2 ช้อนโต๊ะ/วัน
ความดันโลหิตเป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย และสามารถหายเองได้ แต่หากท่านใดเกิดอาการผิดปกติขึ้น ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรค เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายได้ ห้ามปล่อยให้หายเองตามธรรมชาติเด็ดขาด
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
เวียนหัว บ้านหมุน สัญญาณบอกโรคที่ไม่ควรนิ่งเฉย