โรคไต
โรคไต ไม่ได้อยู่ไกลตัวเหมือนที่เราคิด

 

“กินเค็มระวังเป็นโรคไต” ประโยคยอดฮิตของใครหลายคนที่มักใช้เตือนผู้คนรอบตัวที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็ม แต่โรคไตไม่ได้เข้าโจมตีแต่ผู้ที่ทานรสเค็มเพียงอย่างเดียว เพราะโรคนี้สามารถเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่มาจากการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง ซึ่งส่งผลให้เราเป็นโรคร้ายนี้ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เรามาทำความรู้จักโรคนี้กันให้มากขึ้นดีกว่า

 

 

โรคไต คืออะไร ? 

 

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไตทำหน้าที่กำจัดของเสีย, ควบคุมความเป็นกรด-ด่างในกระแสเลือด, ควบคุมความสมดุลของเกลือแร่ และควบคุมปริมาณน้ำในร่างกาย ดังนั้น เมื่อไตทำงานผิดปกติ หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จะทำให้เกิดภาวะเลือดจางและขาดวิตามินได้ โดยโรคไตมีอยู่หลายชนิดดังตัวอย่าง ได้แก่ 

 

  • โรคนิ่วในไต

 

  • โรคไตเฉียบพลัน

 

 

  • โรคไตเสื่อม

 

  • โรคเส้นเลือดฝอยที่ไตอักเสบ

 

  • โรคถุงน้ำในไต

 

 

สาเหตุของการเกิดโรคไต 

 

โรคนี้อาจมีความเข้าใจผิด ๆ ว่าเลี่ยงทานเค็มเท่ากับเลี่ยงโรคไต ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วยังมีสาเหตุต่าง ๆ อีกมากมาย โดยสาเหตุของการเกิดโรคนี้ ได้แก่

 

  • พันธุกรรม โดยอาจเป็นมาตั้งแต่กำเนิดหรือค่อย ๆ แสดงอาการในภายหลัง

 

  • เกิดจากโรคอื่นที่มีผลกระทบกับไต เช่น ความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวาน, โรคนิ่ว เป็นต้น

 

  • การทานอาหารรสจัด รวมไปถึงหวานจัด หรือเผ็ดจัดด้วยเช่นกัน 

 

  • ภูมิต้านทานบกพร่อง

 

  • ดื่มน้ำน้อยเกินไป

 

  • มีความเครียด, ไม่ออกกำลังกาย

 

การรับประทานยา

 

  • การรับประทานยา และอาหารเสริมที่ไม่มีคุณภาพ อาจส่งผลให้เกิดการกระตุ้นโรคไตในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว

 

 

โรคไต มีอาการอย่างไร ? 

 

เนื่องจากไตเป็นอวัยวะที่ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาสมบูรณ์ได้ การเกิดความผิดปกติกับไตจึงเป็นเรื่องอันตราย โดยในช่วงแรกผู้ป่วยโรคไตอาจแทบไม่มีสัญญาณของโรคร้ายนี้เลย แต่อาการจะปรากฏออกมาในระยะท้าย ๆ ที่ไตได้รับความเสียหายไปมากแล้ว จนในระดับสูงสุดอาจเกิดอาการไตวาย และเสียชีวิตได้ อาการของผู้ป่วยโรคไตที่ปรากฏ มีดังนี้

 

  • ปัสสาวะผิดปกติ เช่น กลิ่นและสีผิดปกติ, เป็นฟอง, ปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะน้อย, มีเลือดปน เป็นต้น

 

  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 

 

  • ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน

 

  • มีอาการเบื่ออาหาร หรือมีอาการขมปากและขมคอจนไม่สามารถรับประทานอาหารได้

 

  • ตัวบวมเนื่องจากมีน้ำและเกลือในร่างกายปริมาณมาก

 

ปวดบั้นเอว

 

  • ปวดหลัง ปวดบั้นเอว

 

 

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต

 

  • คนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคไต

 

  • มีอายุมากกว่า 60 ปี

 

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, ความดัน, โรคเกาต์, โรคนิ่ว, โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง เป็นต้น

 

  • ผู้ที่ดื่มน้ำน้อย

 

  • ผู้ที่ซื้อยามารับประทานเอง โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ 

 

  • ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารสำเร็จรูปและอาหารที่มีโซเดียมสูง

 

 

ระยะของโรคไต

 

  • ระยะแรก ค่าการคัดกรองของไต (eGFR) มากกว่า 90 ส่งผลให้ไตอาจเริ่มเกิดการเสื่อมขึ้น

 

  • ระยะที่ 2 ค่าการคัดกรองของไต (eGFR) น้อย โดยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60-90 

 

  • ระยะที่ 3 ค่าการคัดกรองของไต (eGFR) น้อยกว่า 60 ไตเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ, การกรองของเสียลดลง หากผู้ป่วยอยู่ในระยะนี้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง 

 

  • ระยะที่ 4 ค่าการคัดกรองของไต (eGFR) น้อยกว่า 30 ควรเริ่มวางแผนการบำบัดไต และควรติดตามผลเลือดและปัสสาวะทุก 3 หรือ 6 เดือน 

 

  • ระยะสุดท้าย ค่าการคัดกรองของไต (eGFR) น้อยกว่า 15 ผู้ป่วยจะเกิดภาวะไตวาย ส่งผลให้ไตไม่สามารถทำงานได้ 

 

 

การวินิจฉัยโรคไต 

 

  • การตรวจเลือด เพื่อดูสารครีเอตินินที่เป็นของเสียภายในเลือด, ตรวจอัตราการกรองของเสียออกจากไต, ตรวจหาแคลเซียมและยูริก เป็นต้น

 

  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูระดับของสารอัลบูมินกับครีเอตินิน, เม็ดเลือดแดงและขาว หรือเชื้อแบคทีเรียที่ปนอยู่ในปัสสาวะ 

 

  • การตรวจชิ้นเนื้อ แพทย์อาจนำตัวอย่างเซลล์เนื้อเยื่อของไต ไปตรวจเช็กโดยใช้กล้องจุลทรรศน์

 

  • การตรวจจากภาพถ่าย เพื่อดูลักษณะการอุดตันและการทำงานของไต ด้วยวิธีการอัลตราซาวด์, CT Scan และ MRI Scan เป็นต้น

 

 

การรักษาโรคไต

 

  • รักษาตามอาการและปรับพฤติกรรม เช่น การรับประทานยา และควบคุมความดันโลหิตให้เหมาะสม, ลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงยาบางประเภท เป็นต้น

 

  • รักษาด้วยวิธีการบำบัดทดแทนไต ใช้รักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพื่อช่วยขจัดของเสียทดแทนไตที่เสียไป สามารถทำได้ 3 วิธี เช่น การฟอกเลือด เพื่อทำให้เลือดสะอาดโดยใช้ระยะเวลา 4-5 ชั่วโมง จำนวน 2-3 ครั้ง/สัปดาห์, การฟอกไตผ่านทางช่องท้อง โดยจะฟอกวันละ 4 รอบ หรือการปลูกถ่ายไต โดยการนำไตจากผู้บริจาคใส่เชิงกรานของผู้รับไต

 

  • การรักษาด้วยยา โดยวิธีนี้ควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งยาที่ผู้ป่วยต้องรับประทาน เช่น ยารักษาภาวะโลหิตจาง, ยาลดน้ำตาลในเลือด หรือยาลดความดันโลหิตสูง เป็นต้น

 

  • การฟอกไตทางหลอดเลือด เป็นการนำเลือดออกจากร่างกาย แล้วนำไปฟอกด้วยเครื่องฟอกไต จากนั้นแพทย์จะนำเลือดกลับเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วย วิธีนี้จะใช้ในผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้าย และจำเป็นต้องได้รับการฟอกไต 2-3 ครั้ง/สัปดาห์

 

  • การปลูกถ่ายไต จะเป็นการบำบัดทดแทนไตแบบถาวร โดยการใช้ไตจากผู้เข้าบริจาค การปลูกถ่ายไตจะเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกับผู้ป่วยระยะสุดท้าย

 

 

การป้องกันโรคไต

 

ดื่มน้ำ

 

  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยควรดื่มอย่างน้อย 6-8 แก้ว/วัน เป็นจำนวน 1.5-2 ลิตร 

 

  • พักผ่อนให้เพียงพอเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง

 

  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกสะอาด ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง รสเค็มและจัด, อาหารกระป๋อง หรืออาหารแปรรูป 

 

  • หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะบ่อย 

 

  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดและยาที่อาจมีผลต่อไต เช่น ยาในกลุ่ม NSAIDs เป็นต้น 

 

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอและควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน 

 

  • เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี

 

 

หากรับประทานโซเดียมสูงอาจเสี่ยงเป็นโรคไต ?

 

โซเดียม คือเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่หากรับประทานเข้าไปในปริมาณมาก อาจจะทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไต เพราะปริมาณโซเดียมที่มากจะทำให้ไตไม่สามารถขับโซเดียมออกไปได้ จนเกิดการสะสมไว้ในเลือด เมื่อมีโซเดียมมากไตจะยิ่งทำงานหนัก ซึ่งผลที่ตามมา คือ ไตจะเกิดความดันสูงขึ้นจนเกิดการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และนำพาไปสู่ภาวะไตเสื่อมในที่สุด พูดมาถึงจุดนี้หลายคนอาจจะพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูงจำพวกน้ำปลา และเกลือ แต่ในความเป็นจริงแล้วโซเดียมยังอยู่ในอาหารอีกหลายรูปแบบ ได้แก่

 

  • เครื่องปรุงรส เช่น ซอสพริก, ซอสมะเขือเทศ หรือน้ำจิ้มสุกี้

 

เบคอน

 

  • อาหารแปรรูป เช่น เบคอน, แฮม, ผักกาดดอง, ผลไม้กระป๋อง และไข่เค็ม

 

  • อาหารสำเร็จรูป เช่น อาหารกระป๋อง, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

 

การจัดการโภชนาการอาหารในแต่ละวัน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยที่จะเข้ามาเบียดเบียน และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ คือการตรวจสุขภาพไตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรู้เท่าทันโรคไตที่อาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวนั่นเอง



 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

ศูนย์ตรวจสุขภาพ

 

โปรแกรมตรวจคัดกรองโรคไต

 

เพราะเหตุใด ผู้ป่วยโรคไต ถึงไม่ควรบริโภคมะเฟือง

 

ติดเค็ม ผลร้ายที่ไม่ใช่แค่โรคไต