อ้วนลงพุง (Metabolic Syndrome) คือ ภาวะที่มีการสะสมของไขมันในบริเวณช่องท้องมากเกิน ส่งผลให้เกิดการหลั่งของสารที่ไปกระทบต่อร่างกาย โดยภาวะนี้เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนมากมายขึ้นกับผู้ป่วย หากปล่อยทิ้งไว้แล้วไม่รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้สุขภาพของผู้ป่วยแย่ลงได้
การรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง
กรรมพันธุ์
มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน
อายุที่เพิ่มสูงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญน้ำตาลและไขมันของสตรีที่หมดประจำเดือนไปแล้ว
การใช้ยาบางประเภท เช่น อินซูลิน, สเตียรอยด์ หรือยารักษาโรคทางจิตเวช เป็นต้น
โรคหรือภาวะความผิดปกติบริเวณต่อมไร้ท่อ โดยเฉพาะไฮโปไทรอยด์
การสูบบุหรี่
ขาดการออกกำลังกาย
อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายหลายชนิดขึ้นในร่างกาย เช่น
ไขมันอุดตัน, ไขมันพอกตับ
โรคหัวใจ, ภาวะหัวใจล้มเหลว
เส้นเลือดในสมองอุดตัน
อัมพฤกษ์ อัมพาต
เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง
ไตวาย
นิ่วในถุงน้ำดี
มะเร็ง
โรคเกาต์, ข้อเสื่อม, ปวดข้อ
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
เส้นเลือดขอด
ประจำเดือนมาไม่ปกติ, มีบุตรยาก
การอักเสบของเนื้อเยื่อที่ตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลิน
ระบบการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินของร่างกายผิดปกติ
ระดับน้ำตาลและความดันในโลหิตสูง
การอุดตันของไขมันที่หลอดเลือดแดงภายในอวัยวะที่สำคัญ เช่น หัวใจ และสมอง
ควรทำในช่วงเช้าก่อนรับประทานอาหารมื้อแรก ซึ่งการวัดรอบเอวจะวัดในท่ายืนตรงขณะหายใจออก โดยให้สายวัดอยู่ตรงจุดกึ่งกลางระหว่างขอบล่างของซี่โครงสุดท้าย จนถึงจุดสูงสุดของกระดูกสะโพก สำหรับผู้ชายมีรอบเอวเกิน 90 เซนติเมตร หรือ 36 นิ้ว ผู้หญิงเกิน 80 เซนติเมตร หรือ 32 นิ้ว จะถือว่าอ้วนลงพุง นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์อื่นที่ใช้ประเมินภาวะนี้ ได้แก่
มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าหรือเท่ากับ 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ความดันในโลหิตสูงกว่า 130/85 มิลลิเมตรปรอท
ระดับไตรกลีเซอไรด์เท่ากับหรือมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ไขมันดีในร่างกายผู้ชายมีค่าน้อยกว่า 40 และผู้หญิงไม่ถึง 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม
ควรเน้นการบริโภคผัก ผลไม้ และธัญพืช
หลีกเลี่ยงอาหาร, เครื่องดื่ม หรือขนมที่มีรสชาติจัดจนเกินไป โดยเฉพาะรสหวาน, มัน และเค็ม
ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อควบคุมระดับไขมัน, น้ำตาล, ความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3-5 วัน ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
ทำกิจกรรมที่เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน เช่น งานบ้าน, ใช้บันไดแทนการขึ้นหรือลงลิฟต์ เป็นต้น
เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
หากรับประทานข้าว ควรลดปริมาณให้น้อยกว่าที่เคยทานปกติ และเพิ่มปริมาณผักประเภทใบให้มากขึ้น
ควรรับประทานผลไม้ชนิดหวานน้อย เช่น แอปเปิล, ฝรั่ง หรือแก้วมังกร โดยให้รับประทานไม่เกิน 6-8 ชิ้น/มื้อ
รับประทานอาหารที่ไม่ใช่เมนูทอด หรือเมนูที่ผสมกะทิ
รับประทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่น อกไก่, หมูสันใน หรือเนื้อปลา เป็นต้น
หากจะรับประทานเมนูไข่ ควรหลีกเลี่ยงเมนูไข่ดาว หรือไข่เจียว ให้เปลี่ยนมาเป็นไข่ต้มแทน
เลือกดื่มนมชนิดพร่องมันเนย หรือขาดมันเนย เช่น นมจืดหรือโยเกิร์ตชนิดพร่องมันเนยหรือขาดมันเนย 1-2 แก้ว/วัน
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ชอบดื่มน้ำหวานหรือน้ำอัดลม มาเป็นการดื่มน้ำเปล่าแทน
อ. แรก คือ อาหาร ให้รู้จักการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม หรือเลือกเมนูที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ลดหวาน มัน เค็ม และควรเพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ขึ้น
อ. ที่สอง คือ ออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานดีขึ้น เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีส่วนช่วยให้ปอด, กล้ามเนื้อ และหัวใจแข็งแรง โดยทุกท่านควรเลือกวิธีการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับตนเองด้วย
อ. ที่สาม คือ อารมณ์ หากคุณตั้งเป้าหมาย, ตั้งใจ และแน่วแน่ต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จะช่วยเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้การลดน้ำหนักประสบความสำเร็จได้ ซึ่งส่วนช่วยสำคัญที่ส่งเสริมให้ท่านไปถึงเป้าหมาย คือ ครอบครัวที่คอยสนับสนุนท่านอยู่ข้าง ๆ
แม้ว่าจะสามารถประเมินเบื้องต้นด้วยตนเอง โดยการใช้สายวัดรอบเอวเพื่อบอกถึงขนาดของหน้าท้องได้ แต่ระดับไขมันและน้ำตาลจะต้องทำการเจาะเลือด ซึ่งทุกท่านควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อหาค่าหรือความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย อีกทั้งยังมีแพทย์ที่คอยให้คำแนะนำทางด้านการลดความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้น เช่น ปรับโภชนาการ หรือวิธีออกกำลังกายของแต่ละบุคคล เพราะแต่ละท่านจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของกายภาพ, สรีระ, น้ำหนักตัว ซึ่งหากทำโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจส่งผลต่อการบาดเจ็บหรือทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นได้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
โรคอ้วน สัญญาณเตือนของความเสี่ยงหลายโรคร้าย