โรคที่เกิดจากความเสื่อมสภาพของสมองที่นอกเหนือจากโรคอัลไซเมอร์ ยังมีโรคที่เกี่ยวกับสมองที่จะส่งผลให้ร่างกายมีอาการสั่นเกร็งตามส่วนต่าง ๆ และมีผลต่อการเคลื่อนไหว คือ “โรคพาร์กินสัน” ซึ่งเกิดจากการที่เซลล์สมองในส่วนของก้านสมองส่วนกลาง (Midbrain) ถูกทำลายไปทีละน้อย จนเกิดความเสียหาย โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยครอบครัวที่มีผู้สูงอายุควรมีความรู้ และความเข้าใจในโรคนี้ เพราะโรคนี้ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเราควรรู้จักโรคนี้ไว้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
โรคพาร์กินสัน (Parkinson's Disease) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์สมองในส่วนที่สร้างสารเคมีที่ชื่อว่า “โดปามีน” ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เริ่มทำงานเสื่อมสภาพลง จนไม่สามารถผลิตสารนี้ได้อีกต่อไป จึงมีผลทำให้ร่างกายเกิดการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ โรคนี้จะพบได้บ่อยในช่วงอายุ 65-80 ปีขึ้นไป โดยผู้ชายมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่า โรคนี้จะดำเนินไปอย่างช้า ๆ แต่สามารถกระทบกับผู้ป่วยได้ในระยะยาว ซึ่งในปัจจุบันอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลทำให้เกิดโรคพาร์กินสันได้ ดังนี้
ปัจจัยทางพันธุกรรม หากมีประวัติบุคคลในครอบครัวเคยป่วยเป็นโรคนี้ หรือในผู้ป่วยรายที่มียีนผิดปกติ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคพาร์กินสันขึ้นได้ แต่จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการสูดดม, การได้รับสารบางอย่างเป็นระยะเวลานานจากการประกอบอาชีพ หรือการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถหาได้ว่า สารใดเป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคนี้ขึ้น
โดยปกติแล้วโรคนี้จะมีอาการที่แสดงออกมามาก หรือน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แต่ที่เป็นเหมือนกัน คือโรคนี้จะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเหมือนโรคทางสมองอื่น ๆ และอาการจะเป็นมากขึ้นไปด้วยหากปล่อยไว้เป็นเวลานาน โดยอาการที่แสดงออกมีดังนี้
อาการสั่นเกร็ง มักจะเกิดขึ้นที่นิ้วมือ, แขน, ขา โดยจะเกิดอาการสั่นเมื่อไม่ได้เคลื่อนไหว และผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมได้ หากเริ่มทำกิจกรรมอาการสั่นจะลดลง หรือหายไป โดยอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อร่วมด้วย
การเคลื่อนไหวไม่คล่องตัว ใช้เวลานานในการเคลื่อนไหว หรือช้ากว่าปกติ ทำให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุตามมาได้
ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการก้าวเดินสั้น ๆ ในช่วงแรก และจะก้าวยาวขึ้น จนเร็วมาก และไม่สามารถหยุดได้ทันที นอกจากนี้ยังอาจมีอาการหลังค่อม, แขนไม่แกว่ง หรือเดินแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์
การแสดงสีหน้าเหมือนใส่หน้ากาก ผู้ป่วยจะมีใบหน้าเฉยเมย เวลาพูดมุมปากจะยกขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนไม่มีอารมณ์ร่วม
พูดเสียงเบา ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการพูดไม่ชัด, พูดเสียงเบา หรือเสียงอาจหายไปในลำคอ บางรายอาจมีอาการพูดรัวเร็ว ระดับเสียงในการพูดอยู่ในระดับเดียวกันตลอด และอาจมีน้ำลายออกมาอยู่ที่มุมปาก
อาการอื่น ๆ เช่น ในระยะเริ่มต้นความจำในระยะสั้นจะไม่ค่อยดี และจะมีอาการความจำเสื่อมในระยะสุดท้าย, มีอาการซึมเศร้ากับวิตกกังวล, เหงื่อออกเยอะ, ปัสสาวะบ่อยและไม่สามารถควบคุมได้ เป็นต้น
ผู้สูงอายุ
ผู้ที่มีประวัติเคยประสบอุบัติเหตุที่บริเวณศีรษะ
ผู้ประกอบอาชีพที่มีการกระทบกระเทือนศีรษะ เช่น นักมวย, นักฟุตบอล, นักกีฬาแข่งรถ เป็นต้น
ผู้ที่มีการใช้ยาทางจิตเวช
ระยะที่ 1 จะมีอาการเริ่มต้น คือ เกิดอาการสั่นเมื่อมีการหยุดพัก หรือไม่มีการเคลื่อนไหวอวัยวะ เช่น นิ้วมือ และแขน ซึ่งจะเป็นเพียงอวัยวะซีกเดียว นอกจากนี้จะมีอาการปวดตามกล้ามเนื้อแขน, ขา และลำตัวร่วมด้วย โดยข้างที่เป็นจะมีอาการงอเล็กน้อย
ระยะที่ 2 อาการจะเริ่มลุกลามไปที่อวัยวะอีกข้างหนึ่ง ผู้ป่วยจะเริ่มหลังงอ, เดินตัวโก่งไปข้างหน้า, เคลื่อนไหวช้าลง, เวลาเดินจะก้าวเท้าสั้น ๆ และต่อมาจะก้าวยาวมากขึ้น แต่จะไม่สามารถหยุดได้ทันที นอกจากนี้ยังมีอาการเริ่มแยกตัวออกจากสังคม
ระยะที่ 3 มีอาการทรงตัวผิดปกติ, อาจหกล้มได้ง่าย, เวลาลุกยืนจะลำบาก เพราะเมื่อลุกแล้วเดินศีรษะจะซุนไปข้างหน้า
ระยะที่ 4 ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง อาการสั่นจะลดลง แต่จะมีอาการแข็งเกร็ง และเคลื่อนไหวช้ามากขึ้นกว่าเดิม ต้องมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะผู้ป่วยจะหกล้มได้ง่าย และไม่สามารถยืนได้
ระยะที่ 5 กล้ามเนื้อแข็งเกร็งมากขึ้นจนผู้ป่วยเคลื่อนไหวไม่ได้เลย กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง, ศีรษะก้มมาจรดคอ, มือเท้าหงิกงอ, เสียงพูดแผ่วเบา, ไม่มีการแสดงความรู้สึกทางสีหน้า, ผู้ป่วยจะไม่สามารถทานอาหารได้ทำให้ร่างกายซูบผอมลง และทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยลงเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ
แพทย์จะมีการสอบถามเบื้องต้นเกี่ยวกับปัญหาของอาการที่ปรากฏขึ้น และอาจมีการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายผู้ป่วย โดยให้ผู้ป่วยลองเดิน หรือเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งแพทย์อาจมีการสังเกตหากมีอาการประมาณ 2 - 3 อย่างที่เข้าข่ายว่าเป็นโรคพาร์กินสัน เช่น เคลื่อนไหวช้า, สั่นเกร็ง และกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง เป็นต้น หากแพทย์พิจารณาว่าผู้ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน อาจมีการส่งตัวผู้ป่วยเพื่อไปพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมและดำเนินการรักษาต่อไป
การรับประทานยา เพื่อเพิ่มปริมาณสารเคมีโดปามีนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยแพทย์จะพิจารณาการให้ยาตามอาการของผู้ป่วย
การทำกายภาพบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเดิน, การนั่ง และการทรงตัว ผู้ป่วยจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติมากยิ่งขึ้น
การผ่าตัด มักใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการยังไม่มาก หรือผู้ที่มีอาการแทรกซ้อนจากการรับประทานยา การผ่าตัดจะใช้วิธีฝังขั้วไฟฟ้าเพื่อไปกระตุ้นสมอง เรียกว่า การผ่าตัดกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation)
ผู้ป่วยโรคนี้จะมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว เพราะจะมีอาการสั่น และไม่สามารถควบคุมการเดินได้ อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุ คนใกล้ชิดจึงควรช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ หรือกิจกรรมที่ผู้ป่วยสนใจ
หมั่นให้ผู้ป่วยทำกายภาพบำบัด เพื่อฝึกการทรงตัว โดยการฝึกเดินให้ได้มากที่สุด หากผู้ป่วยมีอาการเดินลำบากสามารถใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวได้
ดูแลเรื่องการรับประทานอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสจัด รวมถึงดูแลเรื่องการรับประทานยาให้ตรงตามที่แพทย์แนะนำ
ในด้านจิตใจ ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอารมณ์ และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจะพยายามแยกตัวเองออกจากสังคม และรู้สึกกลัวว่าจะไม่มีใครดูแล จนเกิดความท้อแท้ และหมดกำลังใจ คนในครอบครัวจึงควรดูแลอย่างใกล้ชิด และทำความเข้าใจโรคที่ผู้ป่วยกำลังเป็นอยู่ด้วย
กรณีดูแลผู้ป่วยติดเตียง ต้องระวังการป้อนอาหาร ควรป้อนคำเล็ก ๆ ช้า ๆ เพราะผู้ป่วยอาจเกิดอาการสำลักอาหารและอาจส่งผลให้ติดเชื้อได้
ดูแลเรื่องสุขอนามัย และหมั่นพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันแผลกดทับ
โรคพาร์กินสัน เป็นโรคที่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้เสี่ยงพิการ และกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงได้ ดังนั้นหากพบว่าคนในครอบครัวมีอาการเข้าข่ายจะเป็นโรคนี้ ควรรีบพาเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษา และป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยนั่นเอง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ตรวจหาความผิดปกติโรคทางสมอง ด้วยการตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI